ข่าวเศรษฐกิจ/การลงทุน





วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557



กสิกรไทย คาด เงินบาทสัปดาห์ เคลื่อนไหวกรอบ 32.30-32.50

          ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ จับตาแผนกู้เศรษฐกิจ คสช.-ข้อมูลเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค. ...
          เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดเงินรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (23-27 มิ.ย.) เงินบาทปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ระดับประมาณ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ตลอดสัปดาห์ เนื่องจากตลาดยังคงรอปัจจัยใหม่ๆ มากระตุ้น โดยเงินบาทขยับแข็งค่าเล็กน้อย ในช่วงแรกตามทิศทางสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ที่ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขภาคการผลิตจีนที่ออกมาดี
          อย่างไรก็ดี เงินบาททยอยลดช่วงบวกดังกล่าวลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์ ในช่วงปลายเดือนของผู้นำเข้า และการปรับโพสิชั่น เพื่อรอความคืบหน้าของสถานการณ์ต่างๆ ต่อไป โดยในวันศุกร์ (27 มิ.ย.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 32.45 เทียบกับระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (20 มิ.ย.)
               
          สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (30 มิ.ย.-4 ก.ค.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยต้องจับตาแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของ คสช. และข้อมูลเศรษฐกิจเดือน พ.ค. ของไทย ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลตลาดแรงงาน ดัชนี ISM ภาคการผลิต-ภาคบริการ ดัชนี PMI เขตชิคาโก เดือน มิ.ย. ยอดสั่งซื้อของโรงงาน ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายเดือน พ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
          นอกจากนี้ นักลงทุนอาจจับตาถ้อยแถลงด้านนโยบายการเงินของประธานเฟด (2 ก.ค.) ด้วยเช่นกัน อนึ่ง ตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 4 ก.ค. เนื่องในวันชาติสหรัฐฯ.


ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ 28 มิ.ย. 2557 16:54.http://www.thairath.co.th/content/432794



วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557


"กสิกรไทย"ลุยตลาดลูกค้ามั่งคั่งตามต่างจังหวัด 

หวังเพิ่มสัดส่วนเป็น 35% พร้อมตั้งเป้าเอยูเอ็มโต 10%



          นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้าผู้มีเงินฝากและเงินลงทุนเกินกว่า 10 ล้านบาท มีการเติบโตในระดับสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ และเริ่มมีความต้องการทางการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น
          ดังนั้นกลยุทธ์ของธนาคารในปีนี้ คือ การขยายการให้บริการไปในต่างจังหวัดรวมถึงขยายตลาดให้บริการกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติทั้งกลุ่ม AEC และประเทศต่างๆ ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศหรือมาพักอาศัยในประเทศไทยอีกด้วย
          ทั้งนี้ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวสร้างรายได้ให้กับธนาคารค่อนข้างมาก โดยมีค่าเฉลี่ยการใช้ผลิตภัณฑ์ต่อรายสูงถึง 6 ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม High Net Worth ที่มีเงินฝากกับธนาคารเกินกว่า 50 ล้านบาท แต่ยอมรับว่าเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันธนาคารมีลูกค้ากลุ่มผู้มีเงินฝากและเงินลงทุนเกินกว่า 10 ล้านบาท (The Wisdom) อยู่ประมาณ 118,000 ราย คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 80% ของจำนวนลูกค้าระดับบนทั้งหมดในประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 153,000 ราย และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
          "ในแต่ละปีลูกค้ากลุ่มนี้โตขึ้น 3% แต่ในต่างจังหวัดจะโต 2 หลัก และจะเห็นว่าลูกค้าจากลาวข้ามมาใช้บริการ THE WISDOM ในสาขาอุดรธานีมากขึ้น หรือลูกค้าจากพม่าที่เข้ามาใช้บริการในกรุงเทพ ซึ่งธนาคารมีแผนที่จะเปิด The Wisdom Lounge ที่เวียงจันทน์ด้วย หากธนาคารเข้าไปเปิดสาขาในลาวเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า รวมถึงลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทยด้วย กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง"
          นายปกรณ์กล่าวว่า ลูกค้าวิสดอมกว่า 70% เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่ลูกค้าในจังหวัดหัวเมืองและจังหวัดอื่นๆ 30% ในปีนี้ธนาคารมีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นประมาณ 10% หรือเพิ่มเป็น 1.2 ล้านล้านบาทโดยเน้นเพิ่มสัดส่วนลูกค้าในหัวเมืองใหญ่และจังหวัดอื่นๆ ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 35% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 30%
          นอกจากนี้ในปัจจุบันธนาคารมีศูนย์บริการ เดอะวิสดอม 87 แห่ง อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล 42 แห่ง และในจังหวัดใหญ่ทุกภูมิภาค 45 แห่ง ซึ่งในปีนี้ธนาคารมีแผนจะเปิดศูนย์บริการเดอะวิสดอมเพิ่มอีก 47 แห่ง รวมเป็น 134 แห่ง โดยล่าสุดธนาคารกสิกรไทย เปิดตัว เดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัล เอ็มบาสซี (The Wisdom Lounge @ Central Embassy) ตั้งอยู่บนชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี
          ขณะเดียวกันใช้งบลงทุนถึง 70 ล้านบาท สำหรับบริการตู้นิรภัยอัจฉริยะ ระบบอินเทลิเจนท์ เซฟ เดฟโพสิท บ็อกซ์ซึ่งมีความทันสมัยที่สุด ทั้งในเดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และ เดอะวิสดอม เลาท์ แอด สยามพารากอน มีตู้นิรภัย 1,602 ตู้ เมื่อรวมกับตู้นิรภัยรูปแบบกึ่งอัตโนมัติ ที่ ศูนย์บริการเดอะวิสดอม เลาจน์ แอด โซฟิเทล โซ กรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 6 และ สาขาลาดพร้าว 92 โดยมีจำนวนตู้นิรภัยรวม 5,366 ตู้
          "ความต้องการตู้นิรภัยมีมากขึ้น แต่ธนาคารพาณิชย์มีให้บริการไม่เพียงพอ แต่ในส่วนของธนาคารมีตู้เอทีเอ็มทั้งหมดรวมแล้ว 8,000 ตู้ ซึ่งธนาคารแผนที่จะเปิดห้องนิรภัยอีก 3 แห่งภายใน 3 ปีข้างหน้า"


ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์.วันที่ 26 มิถุนายน 2557 12:58





วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557


กสิกรไทย คาดสินเชื่อครึ่งปีหลังโต 
หลังการเมืองคลี่คลาย-ศก.ชัด




         ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย สินเชื่อธนาคารพาณิชย์โตร้อยละ 7.92% ด้านเงินฝากรวม ตราสารหนี้ โต 5.01% เชื่อครึ่งปีหลังสินเชื่อมีโอกาสเติบโตดี หลังส่งออกมีแนวโน้มที่ดี การเมืองคลี่คลาย จับตามาตรการต่างๆ ภาครัฐ...
         เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินภาพการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งปี 57 โดยระบุว่า จากการเติบโตของสินเชื่อที่แผ่วลงในช่วง 5 เดือนแรกของปีและผลของฐานที่สูงในปีก่อน ขณะที่คาดว่าภาคธุรกิจคงใช้ระยะเวลาในการทยอยลดสินค้าคงคลัง แล้วจึงเริ่มเข้าสู่ รอบการผลิตใหม่ ซึ่งจะแปลงมาเป็นความต้องการสินเชื่อเพิ่มเติม และภาคครัวเรือนคงต้องรอชั่งน้ำหนักระหว่างบรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอย และสถานการณ์ด้านรายได้ที่ดีขึ้นกับภาวะค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ โดยจะติดตามผลเชิงบวกจากพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด และอาจปรับเพิ่มประมาณการได้หากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของสินเชื่อที่ชัดเจนในระยะถัดไป
          ขณะที่ในเดือน พ.ค. 57 เงินให้สินเชื่อสุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทย อยู่ที่ 9.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.71 หมื่นล้านบาทจากเดือนก่อนหน้า หรือเติบโตร้อยละ 7.92 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านเงินฝากรวมกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินให้กู้ยืมอยู่ที่ระดับ 10.96 ล้านล้านบาท ลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่จำนวน 6.53 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า หรือเติบโตร้อยละ 5.01 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
         ทั้งนี้ ช่วงครึ่งหลังของปี 57 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นท่ามกลางแรงหนุนเศรษฐกิจ จากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงินงบประมาณของภาครัฐที่ทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหลัง สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น การผลักดันมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและมาตรการดูแลค่าครองชีพของประชาชน รวมถึงภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลก คงเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งหลังของปี สามารถพลิกกลับมามีโมเมนตัมที่ดีขึ้นได้เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 57 โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อยบางประเภท อาทิ สินเชื่อบัตรเครดิต
          สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามนอกจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจไทย ภาวะค่าครองชีพและระดับราคาสินค้าและพลังงาน เนื่องจากจะมีผลต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งผูกโยงกับความก้าวหน้าของสินเชื่อแล้ว ยังต้องจับตามาตรการต่างๆ ของภาครัฐและวิธีการ/ช่องทางการระดมทุน ซึ่งจะกระทบต่อทิศทางสภาพคล่องของระบบการเงินไทยในระยะถัดไป.


ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ 26 มิ.ย. 2557 14:01.http://www.thairath.co.th/content/432267



วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557


กสิกรฯ หันรุกกลุ่มเศรษฐีภูธร-เร่งเปิด

อีก 47 ศูนย์-ขยายฐานเป็น 35%


 กสิกรไทยเผยแผนรุกลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง เน้นขยายฐานสู่ภูมิภาคในจังหวัดหัวเมืองใหญ่-ชายแดน รับการค้า-เออีซี ลุยเปิดศูนย์บริการเพิ่มอีก 47 แห่งในปีนี้ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าหัวเมืองเป็น 35% ล่าสุดเปิด “เดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัล เอ็มบาสซี” พร้อมให้บริการบริการตู้นิรภัยอัจฉริยะระบบอินเทลิเจนท์ เซฟ เดฟโพสิท บ็อกซ์

       
       นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK)กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ธนาคารมีแนวทางที่จะขยายฐานลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งไปสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ๆใน 19 จังหวัดทั่วประเทศเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างจังหวัดเป็น 35% จากปัจจุบันที่ 30% และลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล 70% เนื่องจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอยู่ในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ รวมทั้งเป็นการเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติและเออีซีที่เข้ามาทำธุรกิจหรือพำนักในไทย
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันลูกค้าที่มีเงินฝากและเงินลงทุนกับธนาคารตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่ประมาณ 118,000 ราย โดยคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 80% ของจำนวนลูกค้าระดับบนทั้งหมดในประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 153,000 ราย และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าเติบโตที่ 20% มี AUM ที่ 1.22 ล้านล้านบาท จากมูลค่าทั้งระบบที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 3% และในปีนี้ธนาคารมีแผนที่จะเปิดศูนย์บริการเดอะวินดอมเพิ่มอีก 47 แห่ง รวมเป็น 134 แห่ง จากปัจจุบันที่มี 87 แห่ง อยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 42 แห่ง
       
       “ตลาดภูมิภาคเป็นตลาดที่น่าสนใจ เศรษฐกิจเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักมาต่อเนื่อง 2-3 ปี ลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น พร้อมๆกับโอกาสที่จะขยายธุรกิจด้านการลงทุนยังมีอีกมาก เพราะลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งในภูมิภาคยังออมเงินด้วยเงินฝากประจำเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่จังหวัดในแถบชายแดน อาทิ อุดรธานี ก็เริ่มมีลูกค้านักธุรกิจจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวเข้ามาใช้บริการศูนย์วิสดอมหนาตาขึ้น และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นหากมี AEC ดังนั้น ตรงจุดนี้ก็จะต้องขยายด้วยเช่นกัน”
       
       นายปกรณ์กล่าวอีกว่า กลุ่มลูกค้ามั่งคั่งเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันกันสูงมาก ธนาคารในฐานะผู้นำตลาดมีมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มนี้สูงสุด ได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใน 2 ด้านด้วยกัน คือ ด้านการลงทุนจะเน้นให้คำปรึกษาการลงทุนอย่างมืออาชีพและครบวงจร ส่วนด้านบริการจะเน้นบริการที่แตกต่างและตรงกับไลฟ์สไตล์กับลูกค้าจากการสำรวจในเชิงลึกถึงความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันศูนย์บริการเดอะวิสดอมของมีธนาคารมีทั้งหมดถึง 5 รูปแบบที่แตกต่างตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
       
       ล่าสุด ธนาคารได้เปิด THE WISDOM Loung @ ที่ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ซึ่งศูนย์ดังกล่าวพร้อมด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกด้าน ทั้งด้านไลฟ์สไตล์ บริการทางการเงิน และบริการตู้นิรภัยอัจฉริยะ ซึ่งมีให้บริการที่ศูนย์นี้ และเดอะวิสดอม เลาท์ แอด สยามพารากอน มีจำนวนตู้นิรภัยรวม 1,602 ตู้ ใช้เงินลงทุนด้วยงบประมาณกว่า 70 ล้านบาท ทั้งนี้ บริการตู้นิรภัยอัจฉริยะ ระบบอินเทลิเจนท์ เซฟ เดฟโพสิท บ็อกซ์นี้ มีความทันสมัยที่สุด ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกด้วยการยืนยันตัวตนถึง 3 ชั้น เริ่มจากการสแกนลายนิ้วมือพร้อมการแตะการ์ด ใส่ PIN Code และไขกุญแจเปิดตู้นิรภัย ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการตู้นิรภัยได้อย่างมั่นใจในห้องส่วนตัวเฉพาะบุคคล



ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์25 มิถุนายน 2557 19:11 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000071712



วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557


“บล.กสิกรไทย” ตั้งเป้าหุ้นไทยพลิกกลับแตะ 1,560 จุด 


(ชมคลิป)


        บล.กสิกรไทย เผยครึ่งปีหลังเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หลัง คสช. เข้ามาบริหาร ภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นสดใสตามทิศทางตลาดโลก พร้อมปรับเป้า SET INDEX เป็น 1,560 จุด


        นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในครึ่งปีหลังเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลง โดยนโยบายขนาดใหญ่ที่ค้างอยู่เริ่มนำกลับเข้ามาพิจารณาเพื่อสานต่องานที่จะทำในอนาคต

        “หลังจากที่ทาง คสช.ได้จ่ายเงินจำนำข้าวแก่ชาวนา และแถลงถึงความชัดเจนของทิศทางเศรษฐกิจที่จะทำในอนาคต และการฟื้นความเชื่อมั่นต่อดัชนีผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่กระบวนการคัดสรร และแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้ว นโยบายเร่งด่วนต่างๆ คาดว่าจะออกมารวดเร็วมากขึ้น อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นในระยะ 1-2 เดือนต่อจากนี้จะปรับตัวบวกขึ้นมา แม้จะมีการปรับฐานลงไปบ้าง” 

         ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เริ่มทยอยปรับฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ ส่วนเศรษฐกิจของยุโรปทยอยปรับฟื้นตัวขึ้นมา แต่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ที่ 50:50 ซึ่งยุโรปยังไม่มีเม็ดเงินมากพอที่จะอัดฉีดเข้ามาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่น สะท้อนภาพการปรับตัวฟื้นขึ้นมาได้ดี ส่วนประเทศจีนนั้นแม้จะมีการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง แต่ยังคงมีน้ำหนักต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมได้ อย่างไรก็ดี คาดว่านับจากนี้นักวิเคราะห์จากสำนักต่างๆ จะทยอยปรับเพิ่มประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากเดิมที่ปรับตัวลดลง เป็นปรับเพิ่มกำไรมากขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

         ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังการเข้าบริหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดัชนี SET INDEX ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากแถลงการทิศทางเศรษฐกิจ และเรียกความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนกลับมา ซึ่งนักวิเคราะห์ได้ตั้งเป้า SET INDEX จากเดิมที่ 1,500 จุด เพิ่มขึ้นเป็น 1,560 จุด โดยคาดว่าต่อจากนี้นักลงทุนต่างประเทศจะเริ่มทยอยกลับมาซื้อหุ้นไทยมากขึ้น



ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์23 มิถุนายน 2557 15:11 น.




วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557


กสิกรไทยคาดแนวโน้มหุ้นไทยสัปดาห์หน้า 

อาจยังปรับตัวผันผวน


         บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดหุ้นรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (16-20 มิ.ย.)ดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากแรงซื้อเก็งกำไรของนักลงทุน โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,467.29 จุด เพิ่มขึ้น 0.77% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 19.34% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 43,499.54 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 502.60 จุด เพิ่มขึ้น 1.66% จากสัปดาห์ก่อน
         
         ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นในวันจันทร์ จากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังมีการขายทำกำไรในสัปดาห์ก่อน และแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันโลก ก่อนดัชนีจะปรับลดลงจนถึงกลางสัปดาห์จากแรงขายในหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากความกังวลต่อการเลื่อนประมูลใบอนุญาต 4G อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์จากแรงซื้อเก็งกำไรของนักลงทุน

         สำหรับแนวโน้มสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 23-27 มิ.ย. 2557 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีอาจยังปรับตัวผันผวน ขณะที่การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ความเชื่อมั่นผู้บริโภค รายได้บุคคลสหรัฐฯ เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง GDP Q1/2557 (Final Est.) ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,444 และ 1,437 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,485 และ 1,496 จุด ตามลำดับ



ที่มา :โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์22 มิถุนายน 2557 06:15 น.
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000070025


วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557


“กสิกร” ทุ่ม 100 ล้าน ช่วยเอสเอ็มอี 
พร้อมควักเงิน 75,000 ล้านบาท ปล่อยกู้







         นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเอสเอ็มอีในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจจำหน่ายสินค้า และบริการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร จำนวน 15,000 ราย วงเงิน 43,000 โดยใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเกินบัญชี (โอดี) ทุกรายทันที 3% เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 มิ.ย.-31 ส.ค. 2557 และพักชำระหนี้เงินต้นนาน 6 เดือน ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามีสภาพคล่องในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้น 55% จากภาระหนี้ของธนาคารที่ลดลง
         “โดยปกติลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นเอสเอ็มอีรายเล็ก สภาพคล่องน้อย จึงใช้วงเงินโอดีเกือบเต็มวงเงิน หรือมีวงเงินโอดีรวมราว 2.7 ล้านบาท ซึ่งยอมรับว่ากลุ่มนี้อัตราดอกเบี้ยจะค่อนข้างแพง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าของแบงก์มานาน แต่กลุ่มนี้ไม่ได้เป็นกลุ่มที่เป็นเอ็นพีแอล และหนี้เสียก็ยังอยู่ในระดับเดิมที่ 2.68%”
         อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังเตรียมวงเงินกู้อีก 75,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25% ในช่วง 3 เดือนจากนี้ (มิ.ย.-ส.ค.) จากเดิมที่แต่ละไตรมาสจะสามารถปล่อยกู้ได้ประมาณ 60,000 ล้านบาท เพื่อปล่อยกู้ใหม่ให้กับลูกค้าเอสเอ็มอีรายอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบและต้องการเงินลงทุนหรือวงเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดยวงเงินดังกล่าวคาดว่าจะมาจากการปล่อยกู้ให้ลูกค้าเดิม 80% และลูกค้ารีไฟแนนซ์ 20%


ที่มา : MThai News.วันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2557.http://news.mthai.com/hot-news/341870.html





วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557


กสิกรไทย คาดสัปดาห์หน้าหุ้นไทยผันผวนเตือนระวังแรงขาย



          ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้าผันผวน ตามปัจจัยต่างประเทศ เตือนนักลงทุนระวังแรงเทขายทำกำไร ชี้ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน...
          เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 57 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทย ระหว่างวันที่ 9 - 13 มิ.ย. 2557 ว่า ดัชนีอาจปรับตัวผันผวน นักลงทุนยังต้องระวังแรงขายทำกำไร ขณะที่บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,445 และ 1,425 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,488 และ 1,494 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้ผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค 

       

          ทั้งนี้ ได้สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,458.02 จุด เพิ่มขึ้น 2.99% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 10.85% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 53,169.74 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 474.93 จุด เพิ่มขึ้น 6.07% จากสัปดาห์ก่อน
       
          อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากการที่มูดีส์ ยังคงมุมมองเครดิตของประเทศไทยในระดับเดิม รวมทั้งมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า หลังความชะงักงันทางการเมืองเริ่มคลายตัว ทั้งนี้ ดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อยในวันพุธจากแรงขายทำกำไร อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อในช่วงปลายสัปดาห์ จากข่าวการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของ ECB.


ที่่มา : ไทยรัฐออนไลน์.วันอาทิตย์ ที่ 7 มิถุนายน .13.07 น. http://www.thairath.co.th/content/427933



วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557


ดัชนีช่วงบ่ายทรงตัว โบรกฯ เตือนอย่าไล่


          ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุช่วงบ่ายดัชนีน่าจะทรงตัวได้ในแดนบวก พร้อมเตือนนักลงทุนระวังการเปลี่ยนกลุ่มหุ้นเล่น ระหว่างกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กับกลุ่มพลังงาน คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,430-1,470 จุด แม้การยืนเหนือ 1,425 จุด จะเพิ่มโอกาสเล็งขึ้นทดสอบ 1,470 จุด โดยแนะกลยุทธ์ อย่าไล่ ให้ใช้จังหวะตั้งรับทยอยซื้อหุ้นที่เป็นเป้าหมายของ Fund flow อย่างไรก็ตาม เราคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเดือน มิ.ย.-ก.ค.57 โดยคาดการกระตุ้นเศรษฐกิจ

          โดยเมื่อเวลา 15.03 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,456.64 จุด เพิ่มขึ้น 2.40 จุด เปลี่ยแปลง +0.16% มูลค่าการซื้อขาย 31,182.57 ล้านบาท โดยดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,458.03 จุดและต่ำสุดที่ 1,447.65 จุด


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์4 มิถุนายน 2557 15:00 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000062498



วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557


“เคแบงก์” คลอดมาตรการช่วยเหลือลูกค้า SMEs


“เคแบงก์” ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ผ่านมา แจงทั้งลดดอกเบี้ย 3 เดือน และพักชำระหนี้ 6 เดือน เชื่อเป้าปล่อยปีนี้โตร้อยละ 6-8 
      
       นายพัชร สะมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ทางธนาคารออกมาตรการลูกค้าเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนประมาณ 19,000 ราย

       

       สำหรับมาตรการช่วยเหลือพิเศษแก่เอสเอ็มอี ได้แก่ การลดดอกเบี้ยวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี หรือ OD ร้อยละ 3 เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนถึง 31 สิงหาคม 2557 และพักชำระหนี้เงินต้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยเชื่อว่าจะทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีเงินหมุนเวียนเพิ่มจากปกติประมาณร้อยละ 55 นอกจากนี้ธนาคารเตรียมวงเงินกู้อีก 75,000 ล้านบาทเพื่อปล่อยกู้ใหม่ให้เอสเอ็มอีในธุรกิจอื่นที่ได้รับผลกระทบและต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น

       
       ส่วนเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีในปีนี้ (2557) ของธนาคารกสิกรไทย ยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่จะขยายตัวร้อยละ 6-8 จากยอดรวมสินเชื่อคงค้างเมื่อปลายปี 2556 จำนวน 629,000 ล้านบาท เพราะเห็นสัญญาณเอสเอ็มอีเริ่มสต๊อกสินค้าเพื่อผลิตมากขึ้น โดยเชื่อว่าในไตรมาสที่ 4 จะมีการขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการต้องผลิตตามคำสั่งซื้อที่จะมาในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ ส่วนจำนวนลูกค้าที่ขอพักหนี้มีจำนวน 400 ราย ยอดรวมสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์.3 มิถุนายน 2557 15:32 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000062021





วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557


กสิกรไทยจัดเต็ม ช่วยเอสเอ็มอีคลายทุกข์จากพิษเศรษฐกิจ 

ทุ่ม 100 ล้าน ลดดอกเบี้ยกู้ 3% ยืดหนี้ 6 เดือน 

พร้อมปล่อยกู้เพิ่ม 75,000 ล้าน


         การเมืองยืดเยื้อส่งผลกระทบเอสเอ็มอีรายได้ลด ขาดสภาพคล่อง กสิกรไทยรุดช่วย ทุ่ม 100 ล้านลดดอกเบี้ย 3% นาน 3 เดือน พักชำระเงินต้นนาน 6 เดือน พร้อมเตรียมเงินปล่อยกู้สินเชื่อใหม่ให้เอสเอ็มอีที่เดือดร้อนอีก 75,000 ล้านบาท หวังช่วยลูกค้าเพิ่มสภาพคล่องและฟื้นตัวจากวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจ
         นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปลายที่ปีแล้ว ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจติดลบ การลงทุนชะลอตัว ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของประชาชนลดลง ทำให้เอสเอ็มอีมีรายได้ลดลงกว่า 40% หลายรายมีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่มีกระแสเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารได้ให้คำปรึกษาและพิจารณาช่วยเหลือแก่เอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบตามความจำเป็นของแต่ละราย
         อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน ทำให้เอสเอ็มอี 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงเป็นวงกว้าง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศลดลงเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย การลงทุนของภาครัฐและเอกชนชะลอตัวลง อีกทั้งชาวนาได้รับเงินจากการขายข้าวล่าช้ากว่ากำหนด โดยธนาคารกสิกรไทยมีฐานลูกค้าเอสเอ็มอีใน 3 กลุ่มดังกล่าวประมาณ 19,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินเร่งด่วน เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเทียบกับภาระหนี้ที่มีกับธนาคารอยู่ในสัดส่วนที่สูง ประมาณ 15,000 ราย
          ดังนั้นธนาคารกสิกรไทย จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่เอสเอ็มอีทั้ง 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยการลดดอกเบี้ยวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (โอดี) ทุกรายทันที 3% เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 มิถุนายน-31 สิงหาคมนี้ และพักชำระหนี้เงินต้นเป็นเวลา 6 เดือนให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ธนาคารยังได้เตรียมวงเงินกู้อีก 75,000 ล้านบาทเพื่อปล่อยกู้ใหม่ให้เอสเอ็มอีอื่นที่ได้รับผลกระทบและต้องการเงินลงทุนหรือวงเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
         มาตรการช่วยเหลือด้วยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 3% และพักชำระหนี้เงินต้นนาน 6 เดือน จะทำให้ลูกค้าใน 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนมีเงินเพิ่มขึ้นต่อเดือนราว 55% จากภาระหนี้ของธนาคารที่ลดลง ซึ่งลูกค้าสามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวไปหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจได้มากขึ้น
          นายพัชร กล่าวทิ้งท้ายว่า มาตรการช่วยเหลือในครั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าจะช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้โดยไม่กระทบกับกำไรของผู้ถือหุ้นเพราะธนาคารจะบริหารจัดการด้วยการลดค่าใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ของธนาคารทดแทน


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันอังคารที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๑:๓๕ น.




วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557


กสิกรไทยผนึกหอการค้าไทยออกบัตรสมาชิกเครดิตร่วม

หอการค้าไทย-กสิกรไทย



          กสิกรไทยรุกผู้นำบัตรเครดิต จับมือหอการค้าไทย ออกบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย บัตรแรกและบัตรเดียวที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านธุรกิจและชีวิตส่วนตัว ด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษ ส่วนลดจากหอการค้าทั่วประเทศ และร่วมอบรมเพิ่มพลังความรู้ ตั้งเป้าออกบัตร 2 แสนใบภายใน 5 ปี
          นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ออกบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย ซึ่งจะเป็นบัตรเครดิตที่มีอัตลักษณ์พิเศษเหนือกว่าบัตรเครดิตทั่วไป โดยจะเป็นบัตรเครดิตบัตรแรกและบัตรเดียวที่รวมสิทธิประโยชน์เพื่อสมาชิกผู้ถือบัตรทั้งด้านธุรกิจ และการจับจ่ายส่วนบุคคลจากธนาคารกสิกรไทย และเครือข่ายสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย จะได้รับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ ส่วนลด 10-20% สำหรับค่าอบรมสัมมนา ส่วนลดสำหรับการออกหนังสือรับรองเพื่อการส่งออก การเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ฟรีเพื่อต่อยอดธุรกิจและก้าวทัน AEC สามารถใช้บริการสินเชื่อต่าง ๆ ของธนาคารกสิกรไทยในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องแสดงหลักทรัพย์กสิกรไทย (K-Klean Credit) สินเชื่อเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์กสิกรไทย (K-Franchise Credit) สินเชื่อรถช่วยได้กสิกรไทย และสินเชื่อบ้านกสิกรไทย
          นอกจากนี้ ยังได้รับส่วนลดจากร้านค้าที่เป็นสมาชิกของหอการค้าทั่วประเทศ รวมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นส่วนลดและข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ ที่ร่วมรายการกับบัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมีมากกว่า 400 แคมเปญต่อปี สำหรับผู้ที่จะสมัครบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย ต้องเป็นกลุ่มพนักงานบริษัท ผู้บริหาร และเจ้าของกิจการที่เป็นสมาชิกหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 700,000 คน ทั้งนี้ ธนาคารฯ ตั้งเป้าออกบัตรดังกล่าวประมาณ 2 แสนใบภายใน 5 ปี
          นายปรีดี กล่าวเพิ่มเติมว่า หอการค้าไทย เป็นศูนย์รวมภาคธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีเครือข่ายสมาชิกครอบคลุมทุกจังหวัด จึงเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ดังนั้นความร่วมมือกับหอการค้าไทยครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการร่วมออกบัตรเครดิตเท่านั้น แต่จะเป็นความร่วมมือในการส่งเสริมพัฒนาสมาชิกหอการค้า และการให้สิทธิประโยชน์ที่จะเกื้อกูลการดำเนินธุรกิจของสมาชิกให้มีความแข็งแกร่ง ซึ่งแตกต่างจากการออกบัตรเครดิตอื่น ๆ ที่ผ่านมา และธนาคาร ฯ หวังว่าจะมีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสำหรับสมาชิกออกมากอย่างต่อเนื่อง
          ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าวัตถุประสงค์หลักของการจัดทำบัตรสมาชิกเครดิตร่วมร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทยในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะใช้เป็นบัตรแสดงตนในการเป็นสมาชิกของหอการค้า เป็นเอกลักษณ์ และเอกภาพเดียวกันของหอการค้าทั่วประเทศ รวมทั้งใช้เป็นบัตรส่วนลดในการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าและหน่วยงานสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ โดยจะเป็นบัตรที่ให้สิทธิพิเศษมากกว่าบัตรส่วนลดทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมเครือข่ายสิทธิประโยชน์ด้านการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศให้กว้างขวางมากขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของเราในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมเครือข่ายทั่วประเทศ
นอกจากสิทธิ์พิเศษที่ได้รับจากธนาคารกสิกรไทยแล้ว ในส่วนของหอการค้าไทย จะดำเนินการรณรงค์เชิญชวน ร้านค้า สถานบริการ ภายใต้ป้าย “ของดีจังหวัด” ซึ่งเป็นโครงการแนะนำร้านอาหารและของฝากชั้นดีของหอการค้าจังหวัดแต่ละจังหวัด หรือร้านอาหารอร่อยที่เป็นสมาชิกของหอการค้าจังหวัด ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งสมาชิกของหอการค้าไทยในส่วนกลางให้เข้าร่วมโครงการ นอกจากนั้น ยังมอบส่วนลดและสิทธิประโยชน์พิเศษต่าง ๆ ของหอการค้าไทย เช่น ส่วนลด 10-20% สำหรับค่าอบรมสัมมนา ส่วนลดสำหรับการออกหนังสือรับรองเอกสารเพื่อการส่งออก เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่สมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในส่วนภูมิภาค ร่วมกับโครงการไทยเที่ยวไทยอีกด้วย
          นายอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่า หอการค้าไทยได้จัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2476 โดยเป็นองค์กรที่เป็นศูนย์รวมของกลุ่มธุรกิจและทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่สมาชิกและผู้ประกอบการเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การเงินและการบริการ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่รัฐบาล เพื่อประโยชน์แก่เศรษฐกิจและสังคมของชาติโดยรวม ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกซึ่งเป็นผู้ประกอบการในเครือข่าย กว่า 70,000 บริษัท


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันจันทร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๐:๓๘ น.




วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557


กสิกรไทย คาดสัปดาห์หน้าเงินบาทเคลื่อนไหว 32.65-33.00


          ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.65-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ จับตาการเมือง-แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ...
          เมื่อวันที่ 31 พ.ค.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดเงินรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (26-30 พ.ค.) เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือนครึ่ง โดยเงินบาทเผชิญแรงเทขายอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ ขณะที่ ตลาดยังคงติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ (ขายสุทธิ 13.0 และ 11.6 พันล้านบาทในระหว่างสัปดาห์ตามลำดับ) ประกอบกับมีความต้องการเงินดอลลาร์ฯ จากกลุ่มผู้นำเข้าในช่วงสิ้นเดือน และผู้ค้าทองด้วยเช่นกัน   
          ทั้งนี้ ในวันศุกร์ (30 พ.ค.) เงินบาทอ่อนค่าเข้าใกล้ระดับ 32.85 ในระหว่างวัน ก่อนจะปิดตลาดที่ระดับ 32.82 เทียบกับระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (23 พ.ค.)
          
          สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (2-6 มิ.ย.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 32.65-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยต้องจับตาสถานการณ์การเมืองและมาตรการดูแลเศรษฐกิจของไทย ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลตลาดแรงงาน ดัชนี ISM ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนพ.ค. ยอดสั่งซื้อของโรงงาน รายจ่ายด้านการก่อสร้าง ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนเม.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังอาจจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (5 มิ.ย.) และดัชนี PMI เดือนพ.ค.ของหลายๆ ประเทศอีกด้วย.


ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ 31 พ.ค. 2557 12:17.http://www.thairath.co.th/content/426446








วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557



กสิกรไทยร่วมเอเชียทีคปล่อยกู้สินเชื่อ SMEs ผู้เช่าร้านค้า



นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย



กสิกรไทยจับมือเอเชียทีค ออกสินเชื่อพิเศษหลากหลายหนุนเงินหมุนเวียนให้ผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นการบริโภค จากศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ ตั้งเป้าปีนี้มีผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาท

       

       นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ออกโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อธุรกิจเริ่มต้น บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ สินเชื่อไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับเอสเอ็มอีที่มีข้อจำกัดในการหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันสินเชื่อ แต่ต้องการเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ขยายกิจการ หรือเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ

       

       ทั้งนี้สินเชื่อ SME กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชีบริการสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักฐานการเดินบัญชี หรือมีการเดินบัญชีแต่ไม่มีความสม่ำเสมอ โดยธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าจากเอกสารประเภทใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟฟ้า ซึ่งผู้ขอสินเชื่อในโครงการนี้จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 เดือน

       
       นอกจากบริการสินเชื่อดังกล่าวข้างต้น ธนาคารยังมีบริการทางการเงินที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการรับจ่ายเงินของผู้เช่าร้านค้า เพื่อให้ผู้เช่าร้านค้ามีเวลาในการบริหารร้านได้อย่างเต็มที่ ได้แก่ บริการชำระเงินผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติกสิกรไทย เพื่อหักชำระค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่างๆ กับเอเชียทีค ฟรีค่าธรรมเนียม 3 เดือน บริการร้านค้ารับบัตรเครดิตผ่าน K-PowerP@y (mPOS) ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน/แทปเลต ทั้งระบบ iOS และ Android ซึ่งจะทำให้การรับชำระเงินจากลูกค้าสะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา และมั่นใจด้วย SMS หรือ email ที่ยืนยันทุกการใช้จ่าย พร้อมโปรโมชั่นจากบัตรเครดิตกสิกรไทย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าในเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ด้วยการออกโปรโมชั่นพิเศษ "อิ่มอร่อย 2 ต่อ รับโชคมากกว่า" ให้กับเอเชียทีคโดยเฉพาะ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้สนใจเข้ามาใช้บริการภายในโครงการมากขึ้น
       
       “ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากช่วยเรื่องสภาพคล่องแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ ต้องการให้ผู้เช่าให้ความสำคัญเรื่องการเดินบัญชี ซึ่งจะส่งผลดีเมื่อผู้เช่าร้านค้าต้องการขยายกิจการก็จะสามารถขอสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โครงการนี้ ธนาคารตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้” นายพัชร กล่าวทิ้งท้าย



ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์.30 พฤษภาคม 2557 10:35 น.





วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


โบรกเกอร์ระบุช่วงบ่ายดัชนีทรงตัวไร้ปัจจัยใหม่กระตุ้น





   ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุความเคลื่อนไหวช่วงบ่ายน่าจะทรงตัวต่อจากช่วงเช้า เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากดดันดัชนี โดยหากดัชนีไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 1,410 จุดได้ ดัชนีมีแนวโน้มถอยลงมาปิดที่ระดับต่ำกว่า 1,409.00 จุด เพราะยังคงมีแรงขายหุ้นใหญ่ในกลุ่ม ICT ขณะที่กลุ่ม Bank Contractors และ Construction Materials ยังคงปรับขึ้นต่อ เนื่องจากป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแผนพิจารณาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของ คสช. 

       

       อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ประเมินแนวโน้มดัชนีบ่ายมีแนวโน้มทรงตัวจากช่วงเช้า แม้ว่าจะยังคงได้รับผลดีจากการเมืองในประเทศ และการตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีส่งผลให้ตลาดอาจมีแรงขายทำกำไรเข้ามา  ทั้งนี้ ยังคงระวังการปรับถอยในวันพรุ่งนี้ จากปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ (GDP ไตรมาส 1/57 สหรัฐฯ ที่อาจติดลบ และเงินทุนต่างชาติที่ชะลอการไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาด TIP ในระยะสั้น) อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะปรับตัวดีกว่าคาดได้ (ขึ้นไปเหนือ 1,420 จุด) ต่อเมื่อนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง ดังนั้น ระยะสั้นตลาดยังมีโอกาสเผชิญการแกว่งผันผวนได้ จึงควรระมัดระวังการเก็งกำไรหุ้นเล็กที่ไม่มีพื้นฐาน หรือปรับขึ้นแรงเกินพื้นฐาน โดยอาจหมุนมายังหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่พื้นฐานดีที่มีโอกาส Outperform ตลาดในช่วงถัดไป

       

       คำแนะนำ เลือกหุ้นรายตัว  สำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ เก็งกำไรด้วยวงเงินจำกัด ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายเร่งด่วนของ คสช.

       
       ทั้งนี้ เมื่อเวลา 15.18 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,409.60 จุด เพิ่มขึ้น 6.81 จุด เปลี่ยนแปลง +0.49% มูลค่าการซื้อขาย 26,384.92 ล้านบาท


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์.29 พฤษภาคม 2557 15:17 น.


วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 

4 แห่งของประเทศไทย และบริษัทลูกของธนาคาร



          ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง ของประเทศไทยและบริษัทลูก (subsidiary) ของธนาคาร 3 บริษัท อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term IDR) ของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ได้รับการคงอันดับที่ ‘BBB+’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ได้รับการคงอันดับที่ ‘AA(tha)’ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ได้รับการคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ ‘BBB’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA+(tha)’ ธนาคารทั้ง 4 แห่งมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

          พร้อมกันนี้ ฟิทช์ ยังประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS และ บริษัทกรุงไทยลีสซิ่ง จำกัด หรือ KTBL ที่ ‘AA-(tha)’
รายละเอียดอันดับเครดิตทั้งหมดได้แสดงไว้ในส่วนท้าย

          ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศของ BBL KBANK และ SCB พิจารณาจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating หรือ VR) ของธนาคาร ในขณะที่อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของ KTB มีปัจจัยสนับสนุนจากอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของธนาคาร

          อันดับเครดิตภายในประเทศของ KS SCBS และ KTBL สะท้อนถึงความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อธนาคารแม่ของแต่ละบริษัท และจากสาเหตุดังกล่าวอันดับเครดิตของ KS และ SCBS มีอันดับเครดิตที่ต่ำกว่าธนาคารแม่หนึ่งระดับและ KTBL มีอันดับเครดิตที่ต่ำกว่าธนาคารแม่สองระดับ
อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ BBL KBANK SCB และ KTB อยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวหรืออันดับเครดิตภายในประเทศของธนาคาร เนื่องจากหนี้สินดังกล่าวเป็นภาระผูกพันที่ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของธนาคาร

         อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารสะท้อนถึงเครือข่ายธุรกิจ (franchise) ในประเทศที่แข็งแกร่ง ฐานะเงินกองทุนที่ดี และระดับการสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ฟิทช์คาดว่าสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานจะมีความท้าทายมากขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธนาคารทั้ง 4 แห่ง เศรษฐกิจของประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในไตรมาสแรกของปี 2557 ได้เริ่มมีสัญญาณการปรับตัวแย่ลงของคุณภาพสินทรัพย์ในระบบธนาคาร อย่างไรก็ตาม ฟิทช์เชื่อว่าสถานะทางการเงินของธนาคารทั้ง 4 แห่งยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้และน่าจะเพียงพอสำหรับการรับมือการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับปกติตามวัฎจักรเศรษฐกิจได้

          ฟิทช์คาดว่าสถานะเครดิตของ BBL น่าจะยังคงอยู่ในระดับดีแม้ต้องเผชิญความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารมีฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและมีอัตราส่วนการสำรองหนี้สงสัยจะสูญในระดับที่สูง แม้ว่า BBL จะมีการกระจุกตัวของสินเชื่อธุรกิจในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อื่นในประเทศไทย อัตราส่วนเงินกองทุนของ BBL ยังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Core Tier 1) อยู่ที่ 14.3% ณ สิ้นปี 2556 ในขณะเดียวกัน BBL ยังคงมีอัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระดับสูงที่ 214% ณ สิ้นปี 2556 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นในประเทศไทย

          ฟิทช์เชื่อว่าการที่ KBANK มีพอร์ทสินเชื่อที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี (well-diversified) และมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งสะท้อนได้จากการเติบโตของสินเชื่อในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัจจัยเหล่านี้น่าจะช่วยให้ธนาคารสามารถรองรับความเสี่ยงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อาจปรับตัวอ่อนแอลงในอนาคต

          อันดับเครดิตของ SCB สะท้อนถึงเครือข่ายของธนาคารที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะในด้านลูกค้าบุคคล และผลการดำเนินงานที่ดี แม้ว่าธนาคารมีการเติบโตที่สูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังสามารถรักษาฐานะเงินกองทุนไว้ในระดับที่ยอมรับได้ และได้มีการเพิ่มระดับการสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพื่อป้องกันความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์

          อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ KTB อยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารใหญ่อีก 3 แห่งอยู่สองอันดับ สะท้อนถึงผลการดำเนินงานและผลการประกอบการที่อ่อนแอกว่า รวมทั้งการที่ KTB มีสถานะเป็นธนาคารรัฐจึงอาจจะต้องให้การสนับสนุนนโยบายรัฐ (แม้ว่าที่ผ่านมา KTB ได้มีการดำเนินธุรกิจในเชิงพาณิชย์มากขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง) ขณะที่อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญหลายตัวของ KTB ได้ปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ว่าอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น อัตราส่วนในด้านคุณภาพสินทรัพย์และระดับหนี้สินยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับธนาคารในต่างประเทศที่มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินที่ bbb-

          ปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
การชะลอตัวอย่างรุนแรงที่ส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบในด้านลบต่อคุณภาพสินทรัพย์และผลการดำเนินงานของธนาคารที่มากกว่าที่คาดการณ์ ระดับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาของภาคเอกชนโดยเฉพาะภาคครัวเรือนอาจส่งผลทางลบต่อธุรกิจและผู้บริโภคในกรณีที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ในกรณีที่ฟิทช์เชื่อว่าภาวะดังกล่าวจะส่งผลกระทบด้านลบต่อระดับเงินสำรองกองทุนของธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ ฟิทช์อาจปรับลดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารทั้ง 4 แห่ง และจะส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศของ BBL KBANK และ SCB ภาวะการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นและมีระยะเวลาที่นานขึ้น ที่เกิดจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบัน อาจส่งผลในด้านลบต่อคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการรองรับความเสี่ยงของธนาคาร

          การปรับลดอันดับเครดิตประเทศไทยอาจส่งผลกระทบทางลบต่ออันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ BBL KBANK และ SCB เนื่องจากธนาคารเหล่านี้มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินอยู่ในระดับเดียวกับประเทศไทย

          ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – อันดับเครดิตสนับสนุน (Support Rating) และ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ (SupportRating Floor)

          อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของธนาคารทั้ง 4 แห่ง สะท้อนถึงการที่ธนาคารดังกล่าว มีความสำคัญต่อระบบธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย เนื่องจากธนาคารทั้ง 4 แห่งมีสัดส่วนทางการตลาดรวมกันมากกว่า 60% ของระบบธนาคารพาณิชย์ในด้านเงินฝากและสินเชื่อ
อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของ KTB ที่ ‘BBB’ อยู่สูงกว่าธนาคารอีก 3 แห่ง หนึ่งอันดับ สะท้อนถึงการที่ KTB มีความสำคัญในเชิงกลยุทย์ต่อรัฐบาลไทย โดย KTB เป็นเพียงธนาคารพาณิชย์แห่งเดียวที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ ทั้งยังมีการควบคุมกำกับอย่างใกล้ชิดโดยกระทรวงการคลัง

          ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – อันดับเครดิตสนับสนุน และ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำการปรับตัวลดลงของแนวโน้มที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทย อาจส่งผลให้อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำถูกปรับลดอันดับ อย่างไรก็ตามฟิทช์มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะปานกลาง นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของประเทศไทยอาจส่งผลให้อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำถูกปรับลดลงได้เช่นกัน

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – หุ้นกู้ด้อยสิทธิ   

          หุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ของ BBL มีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของธนาคารอยู่ 1 อันดับ และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินบาทของธนาคารทั้ง 4 แห่ง มีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวอยู่ 1 อันดับ เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะด้อยสิทธิในโครงสร้างเงินทุน (capital structure) และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของฟิทช์ในการจัดอันดับเครดิตตราสารประเภทดังกล่าว ทั้งนี้หุ้นกู้ดังกล่าวเป็นหุ้นกู้เดิมที่ธนาคารได้เสนอขายไปแล้วและไม่ได้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ Basel III

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – หุ้นกู้ด้อยสิทธิ

          อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารทั้ง 4 แห่ง จะได้รับผลกระทบหากมีการเปลี่ยนแปลงในอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวหรืออันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของธนาคาร

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – ตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Hybrid Tier 1)

          อันดับเครดิตสากลของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของ KTB ที่ ‘B’ อยู่ต่ำกว่าอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร 5 อันดับ ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินงานของธนาคาร (going concern) เนืองจากตราสารดังกล่าวมีคุณสมบัติที่สามารถงดการจ่ายดอกเบี้ยได้ถ้าธนาคารมีผลขาดทุน (non-cumulative coupon deferral feature) อันดับเครดิตภายในประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจาณาอันดับเครดิตสากลของตราสารประเภทดังกล่าว ซึ่งจะอ้างอิงจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเช่นกัน

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – ตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1

          การเปลี่ยนแปลงในอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ KTB จะส่งผลให้อันดับเครดิตของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกัน
รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดมีดังนี้

BBL:
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F2’
  • อันดับความเข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb+’
  • อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำคงอันดับที่ ‘BBB-’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของโครงการหุ้นกู้ GMTN ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน มูลค่า 3 พันล้านเหรียญหสหรัฐฯ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘BBB’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’
KBank:
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F2’
  • อันดับความเข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb+’
  • อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำคงอันดับที่ ‘BBB-’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของโครงการหุ้นกู้ EMTN มูลค่ารวม 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ระยะสั้น ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’
SCB:
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F2’
  • อันดับความเข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb+’
  • อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำคงอันดับที่ ‘BBB-’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของโครงการหุ้นกู้ MTN มูลค่ารวม 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ระยะสั้น ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’
KTB:
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F3’
  • อันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb-’
  • อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ คงอันดับที่ ‘BBB’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของโครงการห้นกู้ EMTN มูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ คงอันดับที่ ‘BBB’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB’
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Hybrid Tier 1 Securities) คงอันดับที่ ‘B’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของโครงการห้นกู้ระยะสั้น มูลค่า 30 พันล้านบาทคงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA(tha)’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้น คงอันดับที่ 1 (Hybrid Tier 1 Securities) ที่ ‘BBB(tha)’
KS:
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
SCBS:
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
KTBL:
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๒:๑๕น.




วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


กสิกรไทย-เอเชียทีค หนุนสินเชื่อร้านค้าในเอเชียทีค


          กสิกรไทยจับมือเอเชียทีค ออกสินเชื่อพิเศษหลากหลายหนุนเงินหมุนเวียนให้ผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นการบริโภค ด้วยเล็งเห็นศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ ตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้
          นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ออกโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อธุรกิจเริ่มต้น บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ สินเชื่อไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับเอสเอ็มอีที่มีข้อจำกัดในการหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันสินเชื่อ แต่ต้องการเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ขยายกิจการ หรือเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อ SME กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชี บริการสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักฐานการเดินบัญชี หรือมีการเดินบัญชีแต่ไม่มีความสม่ำเสมอ โดยธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าจากเอกสารประเภทใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟฟ้า ซึ่งผู้ขอสินเชื่อในโครงการนี้จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 เดือน
          นอกจากบริการสินเชื่อดังกล่าวข้างต้น ธนาคารยังมีบริการทางการเงินที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการรับจ่ายเงินของผู้เช่าร้านค้า เพื่อให้ผู้เช่าร้านค้ามีเวลาในการบริหารร้านได้อย่างเต็มที่ ได้แก่ บริการชำระเงินผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติกสิกรไทย เพื่อหักชำระค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่างๆ กับเอเชียทีค ฟรีค่าธรรมเนียม 3 เดือน บริการร้านค้ารับบัตรเครดิตผ่าน K-PowerP@y (mPOS) ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน/แท๊ปเล็ต ทั้งระบบ iOS และ Android ซึ่งจะทำให้การรับชำระเงินจากลูกค้าสะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา และมั่นใจด้วย SMS หรือ email ที่ยืนยันทุกการใช้จ่าย พร้อมโปรโมชั่นจากบัตรเครดิตกสิกรไทย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าในเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ด้วยการออกโปรโมชั่นพิเศษ "อิ่มอร่อย 2 ต่อ รับโชคมากกว่า" ให้กับเอเชียทีคโดยเฉพาะ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้สนใจเข้ามาใช้บริการภายในโครงการมากขึ้น
          นายพัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการทำธุรกิจ Shopping &Travel Destination ได้รับความนิยมอย่างมาก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสถานที่ที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีการออกแบบให้มีบรรยากาศย้อนยุคแบบโคโรเนียล มีกระบวนการคัดเลือกร้านค้าเพื่อเข้ามาเปิดในโครงการ จึงทำให้กลายเป็นแหล่งรวมร้านค้าที่มีศักยภาพ เพราะความหลากหลายและความน่าสนใจของสินค้ามีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวของผู้บริโภค ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากช่วยเรื่องสภาพคล่องแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ ต้องการให้ผู้เช่าให้ความสำคัญเรื่องการเดินบัญชี ซึ่งจะส่งผลดีเมื่อผู้เช่าร้านค้าต้องการขยายกิจการก็จะสามารถขอสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โครงการนี้ ธนาคารตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้
          ด้านนายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ทีซีซีแลนด์ ผู้บริหารโครงการ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมามีสถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวลดลง ผลกระทบที่เห็นคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติลดน้อยลง การบริโภคในภาคครัวเรือน การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐก็ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารกว่า 1,500 ร้าน ก็ยังสามารถดำเนินกิจการไปได้โดยที่ได้รับผลกระทบเป็นบางส่วน ซึ่งพบว่าปริมาณนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศลดลง โดยกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลงกว่า 25% ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยยังคงแวะเวียนมาไม่ขาดสาย จำนวนเงินไหลเวียนในโครงการอาจลดลงบ้าง จากการใช้จ่ายต่อคนจากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 1,200 บาท จึงเห็นว่าโครงการที่ธนาคารกสิกรไทยได้นำเสนอเป็นสิ่งที่ดีมาก ทางโครงการเอเชียทีค จึงได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีค โดยจะให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง สามารถนำเงินไปลงทุนซื้อสินค้า เตรียมตัวขยายกิจการต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง สามารถรองรับการเปิดตลาด AEC และก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง
         ด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด กล่าวเสริมว่า นอกจากทางโครงการเอเชียทีค จะมีแผนการจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวและการช้อปปิ้งภายในโครงการอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างเอเชียทีคและธนาคารกสิกรไทย จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะมาช่วยส่งเสริมให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ามีเงินทุนหมุนเวียนรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจอย่างเพียงพอ ด้วยแนวคิดที่ว่า ธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้น ทุกกลไกที่เกี่ยวข้องต้องเติบโตไปร่วมกัน ทางโครงการจึงคิดแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ในหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งร่วมมือกับธนาคารซึ่งเป็นกลไกหลักในการเสริมสภาพคล่องให้ร้านค้ารวมทั้งผู้บริโภค ทั้งนี้ทางเราเชื่อมั่นว่าจากนี้ไปภาพรวมเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ ดีขึ้น และในระยะยาวจะมีแนวโน้มที่สดใสแน่นอน



ที่มา :ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๒:๐๔ น.


วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557



กสิกรฯ ยังคงเป้าจีดีพีโต 1.8% รอดูท่าทีรัฐ ห่วงส่งออกยังฟุบ


“กสิกรไทย” ยังคงประมาณการเศรษฐกิจโตที่ 1.8% ระบุแม้มุมมองปัจจัยในประเทศจะมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น หลังมีการจ่ายค่าจำนำข้าวชาวนา-เร่งจัดทำงบประมาณ เหตุการส่งออกยังไม่ฟื้น
       

       นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า กรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เริ่มทยอยจ่ายเงินค่าจำนำข้าวที่ค้างให้แก่ชาวนา รวมถึงจะมีการเร่งจัดทำงบประมาณปี 2558 ให้ทันใช้ตามกำหนดนั้น ถือว่าเป็นความคืบหน้าในทางที่ดี จากเดิมที่เป็นรัฐบาลรักษาการซึ่งมีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงิน หรือการอนุมัติงบลงทุน แต่ในส่วนของ คสช.สามารถดำเนินการ จึงเป็นมุมมองที่เป็นบวกสำหรับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้

       

       “ความเคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตรงนี้ถือได้ว่าเป็นปัจจัยบวกเริ่มมองเห็นภาพต่างๆ ชัดเจนขึ้น จากเดิมที่มีความวิตกกังวล เพราะไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร รวมถึงการจ่ายเงินจำนำข้าว การเร่งจัดทำงบประมาณ ก็จะเป็นส่วนช่วยด้านความเชื่อมั่นในระดับหนึ่งได้”

       

       อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวก็ยังมีปัจจัยลบในด้านของการท่องเที่ยวที่จะตื่นตระหนกและชะลอเดินทางมาเที่ยว แต่ผลกระทบตรงนี้อาจจะไม่มากนัก เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีชัน ซึ่งหากสถานการณ์มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงไฮซีซันการท่องเที่ยวก็น่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น
       
       ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังไม่มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจเติบโต ยังคงไว้ที่ 1.8% เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ยังน่าเป็นห่วง คือ การส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยล่าสุด การส่งออกเดือนเมษายนยังติดลบอยู่เกือบ 0.9% ต่ำกว่าที่้ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวได้ 0.5% ทำให้ยังต้องรอดูในส่วนนี้ก่อน เพราะการส่งออกถือเป็นสัดส่วนใหญ่ในจีดีพีไทย ที่จะยังต้องจับตาดูต่อไป
       
       นายเชาว์ กล่าวอีกว่า หากใน 2 เดือนข้างหน้า การสงออกฟื้นตัวขึ้นชัดเจน ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศก็คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับประมาณการจีดีพี ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนนั้นก็คงจะยังชะลอตัวอยู่ก่อน เนื่องจากมีปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนสูงอยู่ แต่ก็เชื่อว่าหากเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นจากการแก้ไขปัญหาไปเป็นเปลาะๆ แล้ว ก็จะลงมาสู่ภาคการบริโภคด้วย
       
       เผยส่งออกไปอาเซียน-จีนยังฟุบ
       
       ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุภาพรวมการส่งออกเดือน เม.ย.2557 อ่อนแอกว่าที่คาด โดยมูลค่าการส่งออกบันทึกที่ 17,249 ล้านดอลลาร์ หดตัวลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 0.87 (YoY) ต่อเนื่องจากที่หดตัวร้อยละ 3.12 (YoY) ในเดือน มี.ค.2557 และยังคงหดตัวลงจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 0.1 (MoM, s.a.) ซึ่งนับเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
       
       ทั้งนี้ การส่งออกไปตลาดหลักยังประคองสัญญาณการฟื้นตัว แต่คู่ค้าที่สำคัญฝั่งเอเชียยังซบเซา โดยส่งออกของไทยไปตลาดในกลุ่ม G-3 ขยายตัวร้อยละ 0.3 (YoY) ขณะที่เส้นทางการฟื้นตัวของการส่งออกไทยไปจีน และอาเซียน ยังคงหดตัวลงต่อเนื่อง ร้อยละ 9.5 (YoY) และร้อยละ 1.9 (YoY) ตามลำดับ โดยอาจกล่าวได้ว่า การส่งออกไปยังคู่ค้าหลักในภูมิภาคเอเชีย มีทิศทางที่อ่อนแอยาวนานกว่าที่ประเมินไว้
       

       จากสถานการณ์ของภาคการส่งออกดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2557 อย่างระมัดระวัง แม้จะยังคงคาดว่า จังหวะการฟื้นตัวของการส่งออกน่าจะทยอยเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 2/2557 โดยมีแรงหนุนจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อน และการประคองทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรส่งออกของไทยก็เริ่มปรับเข้าใกล้ราคาสินค้าส่งออกของคู่แข่งมากขึ้น โดยจะยังคงกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของการส่งออกที่ร้อยละ 3.0-6.0 (ค่ากลางร้อยละ 5.0) ไว้ ณ ขณะนี้


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์.28 พฤษภาคม 2557 19:22 น.




วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สินเชื่อเดือน เม.ย.อ่อนแรง จับตาการเมือง ลุ้นรายใหญ่ฟื้น


       ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุสินเชื่อเดือน เม.ย.มียอดคงค้าง 9.56 ล้านล้านบาท เติบโต 8.48% ชะลอลงจาก 8.70% ในเดือน มี.ค. จากวันทำการที่น้อยกว่า เศรษฐกิจชะลอ คาดไตรมาส 2 ต่ำกว่า 7% จับตาสถานการณ์การเมือง ลุ้นรายใหญ่กระเตื้อง

       

       ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานเงินให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2557 มีจำนวน 9.56 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.02 หมื่นล้านบาท จากยอดคงค้างที่ 9.54 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 ซึ่งเป็นปริมาณการเพิ่มขึ้นที่น้อยกว่าที่เคยทำได้ที่ 4.49 หมื่นล้านบาทในเดือนมีนาคม ทั้งนี้ แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อในลักษณะเดือนต่อเดือนที่ชะลอลงดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะสามารถอธิบายได้จากปัจจัยด้านฤดูกาลที่เดือนเมษายน มีจำนวนวันทำการน้อยกว่าเดือนมีนาคม ตามวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย

       

       แต่เมื่อพิจารณาจากอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) นั้น พบว่า ยอดเงินให้สินเชื่อสุทธิดังกล่าวเติบโตชะลอลงจากร้อยละ 8.70 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 มาที่ร้อยละ 8.48 ซึ่งสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความต้องการสินเชื่อในภาพรวมที่อ่อนแรงลง ท่ามกลางปัญหาทางการเมืองในประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักของไทยที่ยังไม่สามารถหนุนการฟื้นตัวของการส่งออกได้อย่างเป็นรูปธรรม

       

       ด้านยอดเงินฝากกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืมมีจำนวนทั้งสิ้น 11.03 ล้านล้านบาท ลดลงเพียง 1.6 หมื่นล้านบาท จากระดับ 11.05 ล้านล้านบาท ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินฝากที่รวมกับตราสารหนี้ที่ออก และเงินให้กู้ยืมดังกล่าวยังคงเติบโตชะลอลงจากร้อยละ 7.54 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 มาที่ร้อยละ 7.16 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของเงินให้สินเชื่อที่ชะลอลงเช่นกัน
       
       สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ไทยในเดือนเมษายน 2557 ตึงตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อันเป็นผลจากทั้งสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เงินฝากรวมกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินให้กู้ยืม ปรับตัวลดลง ดังสะท้อนให้เห็นผ่านอัตราส่วนสินเชื่อรวมต่อเงินฝากรวมกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม (Gross Loans to Deposits and Borrowings) เพิ่มขึ้นแตะระดับร้อยละ 90.07 เทียบกับร้อยละ 89.75 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557
       
       ส่วนแนวโน้มการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านั้น แม้ว่าภาวะการแข่งขันในภาพรวมตลาดเงินฝากจากผู้ออมรายย่อยคงจะบรรเทาความรุนแรงลง โดยเฉพาะในมิติของการแข่งขันด้านราคา ซึ่งสะท้อนการบริหารต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ในจังหวะที่การปล่อยสินเชื่อใหม่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่คาดว่ามีโอกาสเห็นโครงการเงินฝากระยะค่อนข้างยาวและโครงการเงินฝากพิเศษสำหรับลูกค้ารายย่อยเฉพาะกลุ่ม ตลอดจนการเสนอขาย Commercial Papers ให้แก่นักลงทุนสถาบันเป็นระยะๆ ตามกลยุทธ์ทางธุรกิจ และนโยบายการบริหารเงินของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง
       
       โดยประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ความคืบหน้าในการผลักดันการใช้จ่ายของภาครัฐ รวมถึงเครื่องชี้ด้านการค้าระหว่างประเทศ เพราะจะมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความเชื่อมั่นภาคเอกชน และการพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวม อันจะมีนัยตามมาต่อการเติบโตของสินเชื่อ และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในระยะถัดไป
       
       ทั้งนี้ สินเชื่อในเดือนแรกของไตรมาส 2/2557 ที่ยังส่งสัญญาณอ่อนแรงลงต่อเนื่อง ผ่านอัตราการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ชะลอลง กอปรกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม ยังน่าจะเผชิญแรงกดดันจากปัญหาความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย และลงทุนของภาคเอกชนในประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง และการฟื้นตัวของการส่งออกที่เชื่องช้า ดังนั้นแล้วจึงมีโอกาสที่สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย ณ สิ้นไตรมาส 2/2557 จะเติบโตชะลอลงต่ำกว่าร้อยละ 7.0 โดยประเด็นจับตาอยู่ที่การเติบโตของสินเชื่อภาคธุรกิจว่าจะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้หรือไม่ หลังจากที่ในไตรมาสแรกของปี 2557 รายงานตัวเลขที่ต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่มียอดคงค้างสินเชื่อลดลงจากสิ้นไตรมาสก่อนหน้า ทำให้แรงขับเคลื่อนสินเชื่อในภาพรวมยังคงมาจากสินเชื่อรายย่อย


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ .26 พฤษภาคม 2557 19:28 น.





วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


กลยุทธ์การลงทุนตราสารทุน 26-5-57









         Money Wise ช่วงพลิกเกม กลยุทธ์การลงทุนตราสารทุน สดตรงจากนักวิเคราะห์บล.กสิกรไทย "NOW26" 26-5-57



ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์.การเงิน-การลงทุน.วันที่ 26 พฤษภาคม 2557.15:13น.





วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


ภาพการเมืองไม่คืบ นโยบายเศรษฐกิจไม่ชัด 

แถมอาจมีการปะทะระหว่างประชาชนกับทหาร 

โบรกฯ คาดดัชนีไม่ไปไหน




       นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ระบุ ดัชนีถูกกดดันด้วยหุ้นใหญ่ในกลุ่ม Energy Bank และ ICT ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยหุ้น PTT ปรับตัวลงแรงกว่า -2.6% ส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากประเด็นข่าวลือ ว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.กดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการของบริษัท รวมถึงรัฐวิสาหกิจอื่นด้วย กดดันบรรยากาศการเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็กในช่วงบ่ายให้เป็นลบต่อเนื่อง

       

       พร้อมกันนี้ เตือนนักลงทุนให้ระวังการกระชากราคาหุ้นเล็กขึ้นเพื่อเปลี่ยนมือ โดยระยะนี้ดัชนีน่าจะซึมลงในกรอบ 1,380-1,400 จุด เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยใหม่ โดยตลาดยังคงเปราะบางต่อความเสี่ยง และมีโอกาสแกว่งถอยได้เร็วในระยะสั้น โดยมี Downside ที่ 1,350-1,360 จุด เนื่องจากสถานการณ์การเมืองไทยที่ยังไม่มีกำหนดเวลาแน่ชัดของการจัดตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อบริหารราชการ ท่ามกลางการรวมตัวกันของหลายกลุ่มเพื่อต่อต้านรัฐประหารที่มีแนวโน้มขยายตัว นักลงทุนกำลังจับตาเพราะอาจนำมาสู่การเผชิญหน้ากับทหาร ส่งผลให้ภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายที่มีโอกาสไหลออกอีกระยะ 

       

       โดยระยะนี้แนะนำทยอยซื้อหุ้นรายตัวเมื่อดัชนีปรับตัวลง โดยเฉพาะที่ระดับ 1,350-1,370 จุด  สำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ เก็งกำไรด้วยวงเงินจำกัดในหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก “นโยบายเร่งด่วน” ของ คสช. 

       

        และเมื่อเวลา 14.40 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,387.14 จุด ลดลง 9.70 จุด เปลี่ยนแปลง -0.69% มูลค่าการซื้อขาย 25,110.28 ล้านบาท  ดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,398.44 จุด และต่ำสุดที่ 1,386.07 จุด




ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2557 14:39 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000058544


วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


กสิกรไทย กนุนธุรกิจแฟรนไชส์





ที่มา : นิตยาสารการเงินการธนาคาร.300 Best Public Companies 2014.ประจำเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2557.ฉบับที่ 385.หน้าที่ 87.



วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


บลจ.กสิกรไทย 
กอทุน K-GA สินทรัพย์โต 300%





ที่มา : นิตยาสารการเงินการธนาคาร.300 Best Public Companies 2014.ประจำเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2557.ฉบับที่ 385.หน้าที่ 93.



วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557



"กสิกรไทย" คาดเปดเทอมเงินสะพัด 
23 หมื่นล. หดจากปีก่อน 04%



    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดช่วงเปิดเทอมเงินสะพัด 23,900 ล้านบาท หดตัวจากปีก่อน 0.4% เผยผู้ปกครองเตรียมพร้อมบุตรหลานเข้าอาเซียน...
    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ค่าใช้จ่ายผู้ปกครองในกรุงเทพฯ ช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2557 จะมีเม็ดเงินสะพัดประมาณ 23,900 ล้านบาท ทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย ร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่า 24,000 ล้านบาท โดยผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังคงมีการวางแผนการใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
    ทั้งนี้ ผู้ปกครองเมืองกรุงฯ ส่วนใหญ่เตรียมพร้อมจัดสรรงบประมาณไว้เพื่อการศึกษาของบุตรหลาน ในขณะที่บางส่วนยอมรับว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเมืองกดดันต่อการวางแผน ใช้จ่าย แม้ว่าในปีนี้ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะมีรายจ่ายและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การศึกษาถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบุตรหลาน ดังนั้น การจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษา จึงเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองมีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอในแต่ละปี โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของค่าเล่าเรียน (ค่าเทอม) และค่ากิจกรรมพิเศษกับทางโรงเรียน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในส่วนของชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน รวมถึงค่ากวดวิชา/เสริมทักษะ ปรับลดลงเล็กน้อย
    อย่างไรก็ตาม ผลของการเปิดเสรี AEC ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า ทำให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีการวางแผนและเตรียมความพร้อมให้กับบุตรหลานมากขึ้น โดยเฉพาะการติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของ AEC และการวางแผนเรียนภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการเรียนและการทำงานของบุตรหลานในอนาคต.

ที่มา :  ไทยรัฐออนไลน์ 9 พ.ค. 2557 18:35. http://www.thairath.co.th/content/421785.



วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


กสิกรไทย หั่นเป้าจีดีพีไทยปีนี้ เหลือโต 1.8%




    "ธนาคารกสิกรไทย" คาด จีดีพีปีนี้เหลือโต 1.8% หลังการเมืองทำบริโภคภายในประเทศชะลอตัว ส่วนนักลงทุนไทยเบนเข็ม หันลงทุนต่างประเทศมากขึ้น...
     นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จีดีพีปีนี้ จะลดลงมาอยู่ที่ 1.8% จาก 2.9% ในปี 2556 เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศยังชะลอตัวต่อเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง
    ขณะที่แนวโน้มทิศทางความต้องการทุน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการยังแสดงความต้องการทุนโดยรวมทรงตัวอยู่ที่ 1.3–1.5 ล้านล้านบาท โดยในปีนี้สัดส่วนของมูลค่าโครงการที่อยู่ในขั้นตอนของการศึกษาความเป็นไปได้ และรอตัดสินใจเพิ่มขึ้นเป็น 59% ของมูลค่าความต้องการทุนโดยรวม จึงสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการยังมองเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเดินหน้าโครงการจริงต่อไป
    นอกจากนี้ ในส่วนของความสนใจของผู้ประกอบการ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่มองตลาดในประเทศเป็นหลัก เปลี่ยนเป็นมองตลาดต่างประเทศในสัดส่วนที่มากขึ้น คิดเป็นประมาณ 60% ของความต้องการทุนโดยรวม โดยมีความสนใจในประเทศพม่ามากขึ้น ซึ่งมีจำนวนโครงการลงทุนไปพม่าเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานและการส่งเสริมสินค้าและบริการเพื่อการอุปโภคพื้นฐานในตลาดอาเซียน.

ที่มา : โดย ไทยรัฐออนไลน์ 7 พ.ค. 2557 14:10. http://www.thairath.co.th/content/421216



วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


กสิกรไทยชี้รายใหญ่พื้นฐานแกร่ง 

พร้อมรุกลงทุนตลาดต่างประเทศกว่า 9 แสนล้าน



    กสิกรไทยย้ำภาคธุรกิจขนาดใหญ่ไทยยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจของโลก และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศได้ ทั้งนี้จากการวิจัยของธนาคารกสิกรไทยพบว่าทิศทางความต้องการทุนยังคงสามารถรักษามูลค่าในระดับ 1.3–1.5 ล้านล้านบาท จากปี 2556 มาถึงปี 2557แต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงของการชะลอการตัดสินใจออกไป ในขณะที่แนวโน้มความต้องการทุนเพื่อการดำเนินธุรกิจตลาดต่างประเทศมีมากขึ้น สนองรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดโลก
     นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า แม้ดัชนีการบริโภคภายในประเทศยังชะลอตัวต่อเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง และคาดการณ์จีดีพีปีนี้ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะลดลงมาอยู่ที่ 1.8% จาก 2.9% ในปี 2556 อย่างไรก็ตามหากมองตลาดต่างประเทศจะพบว่า มีแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ธนาคารกลางตัดสินใจลดคิวอี (QE) ลงเหลือ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากดัชนีทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปถูกประเมินว่ามีแนวโน้มการเติบโตจาก 1.2% ในปี 2556 เป็น 1.5% ในปี 2557 เนื่องจากความต้องการภายในภูมิภาคที่ฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้เศรษฐกิจของประเทศจีนก็ส่อแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2 ของปี เป็นต้นไปจากการออกมาตรการทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ
      นายวศินกล่าวเสริมถึงแนวโน้มทิศทางความต้องการทุน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการยังแสดงความต้องการทุนโดยรวมทรงตัวอยู่ที่ 1.3–1.5 ล้านล้านบาท โดยในปีนี้สัดส่วนของมูลค่าโครงการที่อยู่ในขั้นตอนของการศึกษาความเป็นไปได้และรอตัดสินใจเพิ่มขึ้นเป็น 59% ของมูลค่าความต้องการทุนโดยรวม อันจะสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมองเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเดินหน้าโครงการจริงต่อไป
    นอกจากนี้ ในส่วนของความสนใจของผู้ประกอบการ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่มองตลาดในประเทศเป็นหลัก เปลี่ยนเป็นมองตลาดต่างประเทศในสัดส่วนที่มากขึ้น คิดเป็นประมาณ 60% ของความต้องการทุนโดยรวม โดยที่กว่า 90% ของการลงทุนในต่างประเทศยังคงเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีขนาดมูลค่าโครงการโดยเฉลี่ยต่อโครงการประมาณ 50,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยมีความสนใจในประเทศพม่ามากขึ้น ซึ่งมีจำนวนโครงการลงทุนไปพม่าเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า ทั้งนี้ อุตสาหกรรมหลักของการลงทุนในต่างประเทศเป็นไปเพื่อการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานและการส่งเสริมสินค้าและบริการเพื่อการอุปโภคพื้นฐานในตลาดอาเซียน
    นายวศินกล่าวว่า จากการที่ธนาคารผลักดันกลยุทธ์ด้าน Transaction Banking ตลอดมา ทำให้ธนาคารสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงสัดส่วนทางการตลาดของปริมาณธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศที่เติบโตจาก 16% เป็น 17% ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 ซึ่งส่งผลให้สายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัท สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจในไตรมาสแรกได้อย่างดี และมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมได้ตามเป้าหมายสิ้นปี โดยตั้งเป้าสัดส่วนค่าธรรมเนียมต่อรายได้รวม (Fee to Total Income) เพิ่มขึ้นจาก 44.9% ในปี 2556 เป็น 47% ในปี 2557 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของยอดสินเชื่อคงค้างในปี 2557 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5-7%



ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพุธที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๑:๓๖ น.



วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


สินเชื่อเช่าซื้อไตรมาสแรก 57 ซบตามยอดขายรถ 

ลีสซิ่งกสิกรไทยเน้นคุณภาพ กำไรเพิ่ม 0.45%




    เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลตลาดรถยนต์ยังซบต่อเนื่อง ลีสซิ่งกสิกรไทยหันเน้นคุณภาพ ไตรมาสแรก 57 สินเชื่อคงค้าง 88,875 ล้านบาท โต 5.39% ขณะที่ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 15,336 ล้านบาท ลด 27.35% กำไรสุทธิ 135.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.45% คาดตลาดรถยนต์ยอดขายไม่เกิน 1 ล้านคัน
    นายอัครนันท์ ฐิตสิริวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในช่วงที่ชะลอตัว ส่งผลให้การเติบโตของยอดคงค้างสินเชื่อเช่าซื้อรถในระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1ขยายตัวไม่ถึง 1% ในขณะที่สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในช่วงต้นปีนี้ที่ยังคงหดตัวจากตัวเลขยอดขายรถยนต์ในช่วง 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.57) รวม 224,171 คัน ลดลง 45.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ยอดขายจำนวน 413,256 คัน ทำให้ลีสซิ่งกสิกรไทยต้องดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง หันมาเน้นคุณภาพของลูกค้ามากขึ้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2557 สามารถปล่อยลีสซิ่งรถยนต์และสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ได้รวม 15,336 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 27.35% แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์ใหม่ (HP&FL) 8,488 ล้านบาท ลดลง 6.49% และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Floorplan) 6,849 ล้านบาท ลดลง 43.08% ด้านยอดสินเชื่อคงค้าง (Outstanding Loan) ของบริษัทอยู่ที่ 88,875 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5.39% และสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL อยู่ที่ 0.91% มีกำไรสุทธิที่ 135.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนประมาณ 0.45%
    ทั้งนี้ คาดว่าภาพรวมสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในระบบในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2557 จะยังชะลอตัว โดยการเติบโตของยอดคงค้างสินเชื่อในระบบฯ ยังอยู่ใต้แรงกดดันให้มีทิศทางชะลอตัวลงอยู่ในช่วงใกล้ 0% จากปัจจัยหลักเรื่องผลของฐานที่สูงในปีที่แล้ว จากการเร่งส่งมอบรถยนต์ในโครงการรถคันแรก ประกอบกับในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ปัญหาการเมืองที่ยังไม่ยุติ ส่งผลให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบเชิงลบ ซึ่งรวมถึงความต้องการซื้อรถทั้งเพื่อการอุปโภคและเชิงพาณิชย์ที่ลดลงอย่างชัดเจน
ตลาดรถยนต์น่าจะหดตัวต่อเนื่องไปเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ที่จะหดตัวสูงกว่ารถประเภทอื่น จากกำลังซื้อที่ลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ในเชิงพาณิชย์ เช่น รถกระบะ 1ตัน และรถบรรทุกต่าง ๆ จากการลงทุนที่ชะลอตัวลง และจากปัจจัยสถานการณ์ทางการเมือง ทั้งนี้ มีเพียงตลาดรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่มีโอกาสขยายตัว โดยช่วงไตรมาสที่ 1 ปีนี้ มียอดจดทะเบียนเฉลี่ยกว่า 5,000 คันต่อเดือน จากปีที่แล้วมียอดจดทะเบียนเฉลี่ย 4,000 คันต่อเดือน
    นายอัครนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้ทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและบรรยากาศในการซื้อรถยนต์ใหม่นั้นยังคงอยู่ในภาวะซบเซาเมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่าน ๆ มา อุตสาหกรรมรถยนต์จึงอาจจะต้องรอช่วงครึ่งหลังของปี 2557 เพื่อดูสัญญาณการฟื้นตัวของตลาด ซึ่งหากสถานการณ์การเมืองเริ่มนิ่งมากขึ้น ก็อาจจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยดึงตลาดให้ฟื้นตัวง่ายขึ้น เนื่องจากการดำเนินงานต่าง ๆ ของภาครัฐก็น่าจะเดินหน้าได้บ้าง ภาคเอกชนก็น่าจะมีความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนเริ่มฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่ง ทำให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในช่วงไตรมาส 3-4 มีโอกาสจะกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ ทั้งด้วยยอดขายรถที่เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก และจากผลของฐานเปรียบเทียบกับครึ่งหลังปี 56 ที่มียอดขายชะลอลง อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ตลาดโดยรวมในปีนี้ที่มีปัจจัยเสี่ยงรอบด้านมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ทำให้คาดว่าตลาดรถยนต์โดยรวมในปี 2557 ยังคงหดตัวสูง โดยตลาดรถยนต์จะมียอดจำหน่ายรวมไม่เกิน 1 ล้านคัน


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันอังคารที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๑:๒๘ น.



วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557




"กสิกรไทย" คาด 'เฟด' ลด QE 
อีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์



          "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" คาด ผลประชุม "เฟด" ลดขนาด QE อีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัว ชี้กระทบไทยวงจำกัด จับตาเฟดสิ้นสุดโครงการซื้อสินทรัพย์ เสี่ยงเงินทุนไหลออก
นายวรัท เนียมสอิ้ง เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส ฝ่ายวิจัยการเงินการธนาคาร ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 29 – 30 เม.ย.ที่จะถึงนี้ ประเมินว่า มติจะยังคงดำเนินการปรับลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ลงอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือจาก 55,000 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือน เหลือ 45,000 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือน
        ทั้งนี้ เนื่องจากเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว หลังแรงกดดันจากสภาพอากาศที่เลวร้ายเริ่มคลายตัวลง ซึ่งดูจากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงสูงกว่าที่ระดับ 80 และด้วยสภาวะตลาดแรงงานที่ยังไม่ได้มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับตํ่า จึงคาดว่า เฟด จะยังไม่รีบตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
      ส่วนผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น ประเมินว่า การปรับลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ของเฟด จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงจำกัด และด้วยภาวะการชะงักงันของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ เกิดจากปัจจัยการเมืองในประเทศ ที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อแนวโน้มการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
           อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เฟดสิ้นสุดโครงการซื้อสินทรัพย์ เป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการไหลออกของเงินทุนในอนาคต อันจะส่งผลต่อระดับสภาพคล่องในระบบการเงินไทยและต้นทุนการระดมทุน โดยเฉพาะจากภาครัฐ ซึ่งยังมีโครงการลงทุนและระดมทุนจำนวนมาก


ที่มา : โดย ไทยรัฐออนไลน์ 29 เม.ย. 2557 13:01. http://www.thairath.co.th/content/419555.



วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557


กสิกรไทย เผยนักลงทุนเริ่มหนีการเมืองไทย

หันลงทุนพม่า




          ธนาคารกสิกรไทย เผยนักลงทุนไทยเตรียมหันไปลงทุนในประเทศเมียนมาร์ หนีปัญหาการเมืองวุ่นยาวกว่า 6 เดือน
          นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เผยว่า ภาวะการเมืองในประเทศยังยืดเยื้อ และยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่นานกว่า 6 เดือน ส่งผลให้เอกชนไทยขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งประเทศเมียนมาร์กำลังได้รับความสนใจ ล่าสุด คือโครงการติลาวา และ โครงการทวาย ที่นักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจเป็นพิเศษ และกำลังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสของเอกชนไทยโดยเฉพาะในธุรกิจค้าขาย ก่อสร้าง โรงพยาบาล พลังงาน โรงแรม
          ขณะที่รัฐบาลเมียนมาร์ได้ปรับกฎระเบียบการลงทุนต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการลงทุนของต่างชาติมากขึ้นขณะที่ธนาคารกสิกรไทยพร้อมสนับสนุนสินเชื่อที่ไปลงทุนในเมียนมาร์โดยจะพิจารณาตามความสามารถของแต่ละโครงการซึ่งท่าทีนักลงทุนไทยต่อเมียนมาร์หลายโครงการอยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการ


ที่มา : ข่าวเศรษฐกิจ. RYT9.COM -- จันทร์ที่ 28 เมษายน 2557 18:05:10 น.


วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557



ตลาดหุ้นรับข่าวทั้งลบและบวก แต่ดัชนีหุ้นยังบวก 

เหตุแรงซื้อจากต่างชาติลดการติดลบ 

โบรกเกอร์ยังเชียร์หุ้นกลุ่มธนาคารไปต่อ





     ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ (23 เม.ย.)ไม่ได้รับผลกระทบด้านลบต่อการคงอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ด้านปัจจัยการเมืองลดความร้อนแรงด้วยศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาการชี้แจงข้อกล่าวหาของนายกรัฐมนตรีออกไปอีก 15 วัน แต่โอกาสที่พรรค ประชาธิปัตย์จะประกาศไม่เข้าร่วมการเลือกตั้งอีกครั้ง หากการ กกต. และรัฐบาล มีการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจน หลังวันที่30 เม.ย. 2557 แล้วก็ตาม แต่โบรกเกอร์อาทิ นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้(24 เม.ย.)ยังคงปรับตัวขึ้น ด้วยโมเมนตัมของตลาดที่ยังเป็นบวกอยู่ โดยแรงซื้อของเม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ลดการติดลบ(Downside) ผลักดันให้ตลาดปรับขึ้นไปต่อได้
     อย่างไรก็ดี เมื่อตลาดฯปรับตัวขึ้นไปในระหว่างการซื้อขายก็อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาได้บ้าง ซึ่งเท่าที่ดูนักลงทุนรายย่อยเองก็มีการขายออกมาด้วยน่าจะเป็นเหตุผลในการเทรดของแต่ละคนส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้มีความเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปลายเดือนนี้ พร้อมให้แนวรับ (ดัชนีต่ำสุด)1,416-1,400 จุด ส่วนแนวต้าน(ดัชนีสุงสุด) 1,430-1,442 จุด
     หุ้นกลุ่มแบงก์ คงเป็นหุ้นกลุ่มที่น่ามองน่าติดตามต่อไปได้อีก ด้วยผลประกอบการที่โชว์ออกมาในไตรมาส 1 ปี 2557 ซึ่งมีผลของกำไรที่โตได้ดี เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) มีกำไรสุทธิ 8,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% จากไตรมาส 4 ปี 2556 ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีกำไรสุทธิ 11,939 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หรือ 25.32%ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีกำไรสุทธิ 3,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 223.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2556
     ธนาคารทหารไทย (TMB) มีกำไรสุทธิ 1,602 ล้านบาท ลดลง 12% จากไตรมาส 1 ปี 2556 บริษัททุนธนชาต (TCAP) มีกำไรสุทธิ 1,320 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 ธนาคารเกียรตินาคิน( KKP) มีกำไรสุทธิ 700.23 ล้านบาท ลดลง 39.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2556, ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) มีกำไรสุทธิ 440.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปี 2556 รวม 10 แห่งมีกำไรสุทธิ 42,526.93 ล้านบาท เป็นต้น


ที่มา : MThai News.http://news.mthai.com/hot-news/324351.htm



วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557



ฟิทช์ให้อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ

ของธนาคารกสิกรไทยที่ BBB+



     ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศให้อันดับเครดิตแก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของธนาคารกสิกรไทย (จำกัด) มหาชน หรือ KBank (อันดับเครดิต ‘BBB+’/ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ที่ ‘BBB+’ หุ้นกู้ดังกล่าวมีมูลค่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีวันครบกำหนดชำระในเดือนตุลาคม 2562 โดยหุ้นกู้ดังกล่าวจะออกภายใต้โครงการหุ้นกู้ euro medium term note (EMTN) ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวม 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะออกโดย KBank สาขาหมู่เกาะเคย์แมน
การประกาศให้อันดับเครดิตครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการที่ธนาคารได้ทำการออกหุ้นกู้และฟิทช์ได้รับเอกสารฉบับสมบูรณ์ซึ่งมีข้อมูลตรงตามที่ได้รับมาก่อนหน้า อันดับเครดิตที่ประกาศนี้เป็นอันดับเครดิตระดับเดียวกับที่ฟิทช์คาดว่าจะให้แก่หุ้นกู้ดังกล่าวตามที่ได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2557

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต

      อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิอยู่ที่ระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Foreign Currency Issuer Default Rating) ของ KBank ที่ ‘BBB+’ เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นภาระผูกพันที่ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันของธนาคาร
อันดับเครดิตของ KBank สะท้อนถึงเครือข่ายธุรกิจ (franchise) ในประเทศที่แข็งแกร่งของธนาคาร คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้น เสถียรภาพในด้านการระดมทุน (funding) และสภาพคล่อง รวมทั้งฐานะเงินกองทุนที่อยู่ในระดับดีและความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

    อันดับเครดิตของของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ KBank
     อันดับเครดิตของประเทศไทยที่สูงขึ้น สภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งการปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นของสถานะทางการเงินของธนาคารโดยรวมน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่ออับดับเครดิตของ KBank อย่างไรก็ตามการปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวและอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (หรือ Viability Rating) ในปัจจุบันมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้น้อย
   การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ที่อาจส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรหรือเงินกองทุนลดลง ตัวอย่างของเหตุการณ์ดังกล่าวอาจรวมถึง การเพิ่มระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้จากการมีระดับการกระจุกตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้น และ/หรือ การเติบโตของสินเชื่อในระดับที่สูงเกินไป โดยความสามารถในการรองรับความเสี่ยงไม่ได้มีการปรับตัวแข็งแกร่งขึ้น ทั้งนี้ความสามารถในการรองรับความเสี่ยงอาจสะท้อนจากผลการดำเนินงานหรือเงินกองทุนที่แข็งแกร่งขึ้น

อันดับเครดิตของ KBank ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการประกาศอันดับเครดิตในครั้งนี้ มีดังนี้:

  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นที่ ‘F2’
  • อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินที่ ‘bbb+’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘2’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำที่ ‘BBB-’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตโครงการหุ้นกู้ EMTN มูลค่ารวม 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ระยะสั้น ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ (หุ้นกู้ที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์ Basel II) ที่ ‘AA-(tha)’


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพุธที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๖:๐๓ น.


วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557


KBANK ตั้งเป้า AUM ลูกค้ากลุ่มสินทรัพย์สูง

ในปี 57 เพิ่มราว 8%


       นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจบริการไพรเวทแบงค์ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารมีลูกค้ากลุ่มสินทรัพย์สูง ประมาณ 7,600 ราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ 35% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 21,400 ราย และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) รวมประมาณ 5.7 แสนล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องตามการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดที่เศรษฐกิจมีการเติบโตสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศ คาดปีนี้จะสามารถเพิ่มลูกค้ากลุ่มสินทรัพย์สูงอีก 8% คิดเป็น AUM เพิ่มประมาณ 50,000 ล้านบาท
      ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าสินทรัพย์สูง (High Net Worth Segment) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีสินทรัพย์กับธนาคารและบริษัทของธนาคารมากกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ให้ความสนใจในออมและลงทุนที่หลากหลายและเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนมากขึ้นเนื่องจากผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก และสภาพเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะไม่เติบโตมากนัก
    ดังนั้น บริการไพรเวทแบงค์ จึงได้นำโครงสร้างการขายแบบเปิด (Open Architecture) มาให้บริการกลุ่มลูกค้าสินทรัพย์สูง เพื่อให้คำแนะนำและนำเสนอผลิตภัณฑ์ในการลงทุนที่ดีที่สุดในตลาด มีความหลากหลายสอดคล้องกับความต้องการและให้ผลประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้าโดยลูกค้าสามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่น่าสนใจของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ชั้นนำแห่งอื่น นอกเหนือจากการเลือกลงทุนกับ บลจ.ในเครือของธนาคารกสิกรไทยได้
    ช่วงเริ่มต้น ธนาคารได้เลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 2 แห่งที่มีผลประกอบการอันดับต้น ๆ ของไทยมาร่วมให้บริการแก่ลูกค้าสินทรัพย์สูง ได้แก่ บลจ.อเบอร์ดีน และ บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) โดยทั้ง 2 บลจ. เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการกองทุนที่ลงทุนในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตลาดเอเชียหรือยุโรป ซึ่งทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการลงทุนกับกองทุนต่าง ๆ ได้มากถึง 90 กองทุน และในเร็ว ๆ นี้ จะเพิ่มความร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอีก 3 แห่ง เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายและดีที่สุดในตลาดให้กับลูกค้าไพรเวทแบงค์ของธนาคาร
     นายจิรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมที่ KBank Private Banking จะจัดให้กับลูกค้าในปี 57 นี้เพิ่มเติม คือ การจัดกิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้ให้กับลูกค้าอย่างเข้มข้นในทุกไตรมาส ทั้งด้านการเงินและการลงทุน รวมถึงการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจและคำแนะนำการลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ ผ่านความร่วมมือของพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันไป นอกเหนือจากงานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่องการลงทุนแล้ว กิจกรรมที่ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ของลูกค้าก็ยังคงมีจัดอย่างเข้มข้นเน้นออกแบบกิจกรรมให้ตรงความต้องการและตรงกับความสนใจของลูกค้ามากขึ้น


ที่มา : ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 21 เมษายน 2557 15:24:06 น.



วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557



กสิกรไทย อวดกำไรไตรมาส 1/57 เพิ่ม 18.14%


          ธนาคารกสิกรไทย เผยผลประกอบการ ไตรมาส 1/2557 กำไรสุทธิ 11,939 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 25.32% หลังรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น...
      นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2557 โดยธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 11,939 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 25.32% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 18.14%
        ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2557 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2556 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จำนวน 2,412 ล้านบาท หรือ 25.32% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย จำนวน 1,998 ล้านบาท หรือ 17.11% เป็นผลมาจากรายได้จากผลิตภัณฑ์ตลาดเงินและตลาดทุน และรายได้เบี้ยประกันภัยรับสุทธิ
       สำหรับอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ อยู่ที่ระดับ 3.61% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เนื่องจากเงินรับฝากที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงครบกำหนดและการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายลดลง ส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลงจากไตรมาสก่อนซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล
        ขณะที่ ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2557 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2556 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,833 ล้านบาท หรือ 18.14% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 2,289 ล้านบาท หรือ 13.31% ส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของสินเชื่อ สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 2,196 ล้านบาท หรือ 19.13% เป็นผลมาจากรายได้จากผลิตภัณฑ์ตลาดเงินและตลาดทุนและรายได้เบี้ยประกันภัยรับสุทธิ
      โดยอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Efficiency ratio) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 39.95% ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
       อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557 ธนาคารและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมจำนวน 2,308,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2556 จำนวน 18,951 ล้านบาท หรือ 0.83% เกิดจากเงินให้สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ที่ชะลอตัวตามสภาวะเศรษฐกิจ โดยเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (% NPL Gross).


ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ .วันที่ 18 เมษายน 2557. 18.13 น. http://www.thairath.co.th/content/417379.


วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557



ตราสารหนี้ตุรกี-ฮ่องกงยังคึกคัก 
บลจ. กสิกรไทย เร่งส่งกองทุน 3 เดือน – 1 ปี 
ซีรี่ส์ใหม่ลงตลาด


     นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า จากกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก แต่ต้องการทางเลือกในการลงทุนที่ให้โอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าเงินฝาก บลจ.กสิกรไทย จึงยังคงเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศอายุประมาณ3เดือน – 1 ปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนที่สอดคล้องกับแนวโน้มดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวในระดับต่ำ 

     โดยในระหว่างวันที่ 16 - 21 เมษายน 2557 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีเอฟ (KFF6MBF) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน เอ็น (KEFF3MN) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.85% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน อาร์ (KEFF6MR) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.00% ต่อปี และกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี เอ็น (KEFF1YN) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.25 % ต่อปี โดยทั้ง 4 กองทุนจะลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้คุณภาพดีของสถาบันการเงินในฮ่องกงและประเทศตุรกี พร้อมนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนและสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี

   “กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศของ บลจ.กสิกรไทย ยังคงมุ่งเน้นการคัดเลือกตราสารที่มีคุณภาพและมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดีควบคู่ไปกับโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าพอใจ ซึ่งเรามองว่า ตราสารหนี้ของประเทศตุรกีและสถาบันการเงินในฮ่องกงยังเป็นทางเลือกที่จะสร้างโอกาสในการลงทุนที่ดีได้ โดยกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีเอฟ (KFF6MBF) จะลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ของสถาบันการเงินในสาขาฮ่องกงได้แก่ China Construction Bank Corporation, Bank of China, Bank of East Asia และ ICBC (Asia) Ltd. รวมทั้งยังลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ประเทศไทย ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 

     โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade)  และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ สำหรับกองทุน KFF6MBF ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท” นายนาวินกล่าว นายนาวินกล่าวต่อไปว่า สำหรับกองทุน KEFF3MN จะลงทุนส่วนใหญ่ในเงินฝากและตราสารหนี้ของประเทศตุรกี ได้แก่ Garanti Bank, Isbank และ Akbank T.A.S. ร่วมด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation และยังลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ประเทศไทย ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ด้านตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF6MR จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี ตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล ด้านกองทุน KEFF1YN จะลงทุนในเงินฝาก Bank of China เงินฝากของ China Construction Bank Corporation ตราสารหนี้ Bank of East Asia และตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล ด้วยเช่นเดียวกัน และยังลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ Banco ABC Brasil S.A., ประเทศบราซิล

       โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KFF6MBF, กองทุน KEFF3MN, กองทุน KEFF6MR และกองทุน KEFF1YN สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com







ที่มา : การเงินการธนาคาร.วันที่16 เมษายน 2557.



วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557



กสิกรไทย’ คาดเงินบาทสัปดาห์นี้

เคลื่อนไหว 32.15-32.45




        กสิกรไทยคาดเงินบาทสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.15-32.45 บาท/ดอลลาร์ จับตาสถานการณ์การเมืองไทย...

                 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดเงินรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (7-11 เม.ย.) เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ สัปดาห์ใกล้ 32.15 บาทต่อดอลลาร์ เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงซื้อคืนจากนักลงทุนหลังการชุมนุมของหลายกลุ่มการเมืองผ่านพ้นไปโดยปราศจากเหตุรุนแรง    

                    ทั้งนี้ เงินบาทและสกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ยังได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากเงินทุนไหลเข้า และทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ หลังรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)สะท้อนว่า จังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ในปีหน้า ยังคงไม่แน่นอน อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกลงเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ตามการปรับโพสิชั่นของนักลงทุนก่อนช่วงวันหยุดยาวของตลาดในประเทศ  
        
                 สำหรับในวันศุกร์ (11 เม.ย.)ที่ผ่านมา เงินบาทอยู่ที่ระดับ 32.26 เทียบกับระดับ 32.52 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (เม.ย.)           

              สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ (14-18 เม.ย.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 32.15-32.45 บาทต่อดอลลาร์ โดยต้องจับตาสถานการณ์การเมืองไทย ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนเม.ย. ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภค การผลิตภาคอุตสาหกรรม การเริ่มสร้างบ้านและการขออนุญาตก่อสร้างเดือนมี.ค. ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิ สต๊อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.พ. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดอาจจับตาการประกาศตัวเลขจีดีพีประจำไตรมาส 1/57 ของจีน (16 เม.ย.) ด้วยเช่นกัน.




ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ 15 เม.ย. 2557 10:25.http://www.thairath.co.th/content/416648.



วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557


กสิกรไทย สินเชื่อบ้านเมืองกรุงปี 57 ซึม






ที่มา : นิตยาสารการเงินการธนาคาร.ตะลุยหุ้นนอก เพิ่มกำไรพอร์ต.ประจำเดือน มีนาคม.ฉบับที่383.



วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557



กสิกรไทยอุ้มธุรกิจท่องเที่ยว ผ่าวิกฤติการเมือง





ที่มา : นิตยาสารการเงินการธนาคาร.ตะลุยหุ้นนอก เพิ่มกำไรพอร์ต.ประจำเดือน มีนาคม.ฉบับที่383.




วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557


กสิกรฯลดเป้า SME เหลือ6-8% 

ยอมรับฝืด-ผิดนัดชำระหนี้เพิ่ม




ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ASTV (รายวัน).ปีที่6. ฉบับที่ 1575. วันศุกร์ ที่ 4 เมษายน 2557. 


1 ความคิดเห็น:

  1. การได้รับเงินกู้ถูกต้องตามกฎหมายถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับลูกค้าที่มีปัญหาทางการเงินและต้องการแก้ปัญหา ปัญหาเครดิตและหลักประกันเป็นสิ่งที่ลูกค้ามักกังวลเกี่ยวกับการหาเงินกู้จากผู้ให้กู้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เราได้สร้างความแตกต่างในอุตสาหกรรมการให้กู้ยืม เราสามารถจัดเงินกู้จากช่วง $ 5,000.00 USD ถึง $ 500,000.000.00 USD ต่ำถึง 3% สนใจกรุณาตอบอีเมลนี้ทันที: billjohnson.loanfirm011@gmail.com

    บริการของเรามีดังต่อไปนี้:

    การรวมหนี้

    สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่สอง

    สินเชื่อธุรกิจ

    สินเชื่อส่วนบุคคล

    เงินกู้ระหว่างประเทศ

    สินเชื่อสำหรับทุกประเภท

    เงินกู้ครอบครัว
    เราให้เงินกู้แก่ บริษัท เงินกู้ขนาดเล็กตัวกลางสถาบันการเงินขนาดเล็กที่เรามีทุนแบบไม่ จำกัด สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดหาเงินกู้ติดต่อเราโปรดตอบอีเมลนี้ทันที: billjohnson.loanfirm011@gmail.com

    นายบิลจอห์นสัน

    ตอบลบ