วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

กสิกรไทยร่วมเอเชียทีคปล่อยกู้สินเชื่อ SMEs ผู้เช่าร้านค้า



นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย



กสิกรไทยจับมือเอเชียทีค ออกสินเชื่อพิเศษหลากหลายหนุนเงินหมุนเวียนให้ผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นการบริโภค จากศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ ตั้งเป้าปีนี้มีผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาท
       
       นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ออกโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อธุรกิจเริ่มต้น บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ สินเชื่อไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับเอสเอ็มอีที่มีข้อจำกัดในการหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันสินเชื่อ แต่ต้องการเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ขยายกิจการ หรือเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ
       
       ทั้งนี้สินเชื่อ SME กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชีบริการสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักฐานการเดินบัญชี หรือมีการเดินบัญชีแต่ไม่มีความสม่ำเสมอ โดยธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าจากเอกสารประเภทใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟฟ้า ซึ่งผู้ขอสินเชื่อในโครงการนี้จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 เดือน
       
       นอกจากบริการสินเชื่อดังกล่าวข้างต้น ธนาคารยังมีบริการทางการเงินที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการรับจ่ายเงินของผู้เช่าร้านค้า เพื่อให้ผู้เช่าร้านค้ามีเวลาในการบริหารร้านได้อย่างเต็มที่ ได้แก่ บริการชำระเงินผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติกสิกรไทย เพื่อหักชำระค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่างๆ กับเอเชียทีค ฟรีค่าธรรมเนียม 3 เดือน บริการร้านค้ารับบัตรเครดิตผ่าน K-PowerP@y (mPOS) ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน/แทปเลต ทั้งระบบ iOS และ Android ซึ่งจะทำให้การรับชำระเงินจากลูกค้าสะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา และมั่นใจด้วย SMS หรือ email ที่ยืนยันทุกการใช้จ่าย พร้อมโปรโมชั่นจากบัตรเครดิตกสิกรไทย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าในเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ด้วยการออกโปรโมชั่นพิเศษ "อิ่มอร่อย 2 ต่อ รับโชคมากกว่า" ให้กับเอเชียทีคโดยเฉพาะ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้สนใจเข้ามาใช้บริการภายในโครงการมากขึ้น
       
       “ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากช่วยเรื่องสภาพคล่องแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ ต้องการให้ผู้เช่าให้ความสำคัญเรื่องการเดินบัญชี ซึ่งจะส่งผลดีเมื่อผู้เช่าร้านค้าต้องการขยายกิจการก็จะสามารถขอสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โครงการนี้ ธนาคารตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้” นายพัชร กล่าวทิ้งท้าย



ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์.30 พฤษภาคม 2557 10:35 น.

โบรกเกอร์ระบุช่วงบ่ายดัชนีทรงตัวไร้ปัจจัยใหม่กระตุ้น





   ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุความเคลื่อนไหวช่วงบ่ายน่าจะทรงตัวต่อจากช่วงเช้า เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากดดันดัชนี โดยหากดัชนีไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 1,410 จุดได้ ดัชนีมีแนวโน้มถอยลงมาปิดที่ระดับต่ำกว่า 1,409.00 จุด เพราะยังคงมีแรงขายหุ้นใหญ่ในกลุ่ม ICT ขณะที่กลุ่ม Bank Contractors และ Construction Materials ยังคงปรับขึ้นต่อ เนื่องจากป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแผนพิจารณาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของ คสช. 
       
       อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ประเมินแนวโน้มดัชนีบ่ายมีแนวโน้มทรงตัวจากช่วงเช้า แม้ว่าจะยังคงได้รับผลดีจากการเมืองในประเทศ และการตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีส่งผลให้ตลาดอาจมีแรงขายทำกำไรเข้ามา  ทั้งนี้ ยังคงระวังการปรับถอยในวันพรุ่งนี้ จากปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ (GDP ไตรมาส 1/57 สหรัฐฯ ที่อาจติดลบ และเงินทุนต่างชาติที่ชะลอการไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาด TIP ในระยะสั้น) อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะปรับตัวดีกว่าคาดได้ (ขึ้นไปเหนือ 1,420 จุด) ต่อเมื่อนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง ดังนั้น ระยะสั้นตลาดยังมีโอกาสเผชิญการแกว่งผันผวนได้ จึงควรระมัดระวังการเก็งกำไรหุ้นเล็กที่ไม่มีพื้นฐาน หรือปรับขึ้นแรงเกินพื้นฐาน โดยอาจหมุนมายังหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่พื้นฐานดีที่มีโอกาส Outperform ตลาดในช่วงถัดไป
       
       คำแนะนำ เลือกหุ้นรายตัว  สำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ เก็งกำไรด้วยวงเงินจำกัด ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายเร่งด่วนของ คสช.
       
       ทั้งนี้ เมื่อเวลา 15.18 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,409.60 จุด เพิ่มขึ้น 6.81 จุด เปลี่ยนแปลง +0.49% มูลค่าการซื้อขาย 26,384.92 ล้านบาท


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์.29 พฤษภาคม 2557 15:17 น.

ขายหุ้นกู้เอสพีซีจี ดอกเบี้ย 5.55%





          นางสาววันดี กุญชรยาคง (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) (SPCG) ผู้นำโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ พร้อมด้วยผู้บริหารจากธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารธนชาต และบริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด ร่วมลงนามแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายและผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นกู้ของบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2557 เป็นหุ้นกู้แบบมีผู้ค้ำประกัน และทยอยชำระคืนเงินต้น อายุหุ้นกู้ 5 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.55% ต่อปี หุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดยทริสเรทติ้งที่ระดับBBB มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท เปิดจองซื้อวันนี้ถึง 29 พฤษภาคมนี้ ทั้งนี้ หุ้นกู้ SPCG ชุดนี้ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่สอบถามข้อมูลผ่านกลุ่มผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ดังกล่าว

รายนามบุคคลในภาพ จากซ้ายไปขวา:

1.นายภานพ อังศุสิงห์ ผู้บริหารสายงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
2.นายเอกชัย เตชะวิริยะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส รักษาการผู้บริหารกลุ่ม กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ 8 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
3.นางสาววันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน)
4.นายกนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
5.นายพูนลาภ ฉันทวงศ์วิริยะ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
6.นางยอดฤดี สันตติกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน)



ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๔:๑๖น.

ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 

4 แห่งของประเทศไทย และบริษัทลูกของธนาคาร



          ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง ของประเทศไทยและบริษัทลูก (subsidiary) ของธนาคาร 3 บริษัท อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term IDR) ของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ได้รับการคงอันดับที่ ‘BBB+’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ได้รับการคงอันดับที่ ‘AA(tha)’ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ได้รับการคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ ‘BBB’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA+(tha)’ ธนาคารทั้ง 4 แห่งมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

          พร้อมกันนี้ ฟิทช์ ยังประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS และ บริษัทกรุงไทยลีสซิ่ง จำกัด หรือ KTBL ที่ ‘AA-(tha)’
รายละเอียดอันดับเครดิตทั้งหมดได้แสดงไว้ในส่วนท้าย

          ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศของ BBL KBANK และ SCB พิจารณาจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating หรือ VR) ของธนาคาร ในขณะที่อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของ KTB มีปัจจัยสนับสนุนจากอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของธนาคาร

          อันดับเครดิตภายในประเทศของ KS SCBS และ KTBL สะท้อนถึงความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อธนาคารแม่ของแต่ละบริษัท และจากสาเหตุดังกล่าวอันดับเครดิตของ KS และ SCBS มีอันดับเครดิตที่ต่ำกว่าธนาคารแม่หนึ่งระดับและ KTBL มีอันดับเครดิตที่ต่ำกว่าธนาคารแม่สองระดับ
อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ BBL KBANK SCB และ KTB อยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวหรืออันดับเครดิตภายในประเทศของธนาคาร เนื่องจากหนี้สินดังกล่าวเป็นภาระผูกพันที่ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของธนาคาร

         อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารสะท้อนถึงเครือข่ายธุรกิจ (franchise) ในประเทศที่แข็งแกร่ง ฐานะเงินกองทุนที่ดี และระดับการสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ฟิทช์คาดว่าสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานจะมีความท้าทายมากขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธนาคารทั้ง 4 แห่ง เศรษฐกิจของประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในไตรมาสแรกของปี 2557 ได้เริ่มมีสัญญาณการปรับตัวแย่ลงของคุณภาพสินทรัพย์ในระบบธนาคาร อย่างไรก็ตาม ฟิทช์เชื่อว่าสถานะทางการเงินของธนาคารทั้ง 4 แห่งยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้และน่าจะเพียงพอสำหรับการรับมือการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับปกติตามวัฎจักรเศรษฐกิจได้

          ฟิทช์คาดว่าสถานะเครดิตของ BBL น่าจะยังคงอยู่ในระดับดีแม้ต้องเผชิญความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารมีฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและมีอัตราส่วนการสำรองหนี้สงสัยจะสูญในระดับที่สูง แม้ว่า BBL จะมีการกระจุกตัวของสินเชื่อธุรกิจในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อื่นในประเทศไทย อัตราส่วนเงินกองทุนของ BBL ยังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Core Tier 1) อยู่ที่ 14.3% ณ สิ้นปี 2556 ในขณะเดียวกัน BBL ยังคงมีอัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระดับสูงที่ 214% ณ สิ้นปี 2556 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นในประเทศไทย

          ฟิทช์เชื่อว่าการที่ KBANK มีพอร์ทสินเชื่อที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี (well-diversified) และมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งสะท้อนได้จากการเติบโตของสินเชื่อในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัจจัยเหล่านี้น่าจะช่วยให้ธนาคารสามารถรองรับความเสี่ยงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อาจปรับตัวอ่อนแอลงในอนาคต

          อันดับเครดิตของ SCB สะท้อนถึงเครือข่ายของธนาคารที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะในด้านลูกค้าบุคคล และผลการดำเนินงานที่ดี แม้ว่าธนาคารมีการเติบโตที่สูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังสามารถรักษาฐานะเงินกองทุนไว้ในระดับที่ยอมรับได้ และได้มีการเพิ่มระดับการสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพื่อป้องกันความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์

          อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ KTB อยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารใหญ่อีก 3 แห่งอยู่สองอันดับ สะท้อนถึงผลการดำเนินงานและผลการประกอบการที่อ่อนแอกว่า รวมทั้งการที่ KTB มีสถานะเป็นธนาคารรัฐจึงอาจจะต้องให้การสนับสนุนนโยบายรัฐ (แม้ว่าที่ผ่านมา KTB ได้มีการดำเนินธุรกิจในเชิงพาณิชย์มากขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง) ขณะที่อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญหลายตัวของ KTB ได้ปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ว่าอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น อัตราส่วนในด้านคุณภาพสินทรัพย์และระดับหนี้สินยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับธนาคารในต่างประเทศที่มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินที่ bbb-

          ปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
การชะลอตัวอย่างรุนแรงที่ส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบในด้านลบต่อคุณภาพสินทรัพย์และผลการดำเนินงานของธนาคารที่มากกว่าที่คาดการณ์ ระดับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาของภาคเอกชนโดยเฉพาะภาคครัวเรือนอาจส่งผลทางลบต่อธุรกิจและผู้บริโภคในกรณีที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ในกรณีที่ฟิทช์เชื่อว่าภาวะดังกล่าวจะส่งผลกระทบด้านลบต่อระดับเงินสำรองกองทุนของธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ ฟิทช์อาจปรับลดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารทั้ง 4 แห่ง และจะส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศของ BBL KBANK และ SCB ภาวะการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นและมีระยะเวลาที่นานขึ้น ที่เกิดจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบัน อาจส่งผลในด้านลบต่อคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการรองรับความเสี่ยงของธนาคาร

          การปรับลดอันดับเครดิตประเทศไทยอาจส่งผลกระทบทางลบต่ออันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ BBL KBANK และ SCB เนื่องจากธนาคารเหล่านี้มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินอยู่ในระดับเดียวกับประเทศไทย

          ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – อันดับเครดิตสนับสนุน (Support Rating) และ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ (SupportRating Floor)

          อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของธนาคารทั้ง 4 แห่ง สะท้อนถึงการที่ธนาคารดังกล่าว มีความสำคัญต่อระบบธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย เนื่องจากธนาคารทั้ง 4 แห่งมีสัดส่วนทางการตลาดรวมกันมากกว่า 60% ของระบบธนาคารพาณิชย์ในด้านเงินฝากและสินเชื่อ
อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของ KTB ที่ ‘BBB’ อยู่สูงกว่าธนาคารอีก 3 แห่ง หนึ่งอันดับ สะท้อนถึงการที่ KTB มีความสำคัญในเชิงกลยุทย์ต่อรัฐบาลไทย โดย KTB เป็นเพียงธนาคารพาณิชย์แห่งเดียวที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ ทั้งยังมีการควบคุมกำกับอย่างใกล้ชิดโดยกระทรวงการคลัง

          ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – อันดับเครดิตสนับสนุน และ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำการปรับตัวลดลงของแนวโน้มที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทย อาจส่งผลให้อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำถูกปรับลดอันดับ อย่างไรก็ตามฟิทช์มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะปานกลาง นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของประเทศไทยอาจส่งผลให้อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำถูกปรับลดลงได้เช่นกัน

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – หุ้นกู้ด้อยสิทธิ   

          หุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ของ BBL มีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของธนาคารอยู่ 1 อันดับ และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินบาทของธนาคารทั้ง 4 แห่ง มีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวอยู่ 1 อันดับ เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะด้อยสิทธิในโครงสร้างเงินทุน (capital structure) และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของฟิทช์ในการจัดอันดับเครดิตตราสารประเภทดังกล่าว ทั้งนี้หุ้นกู้ดังกล่าวเป็นหุ้นกู้เดิมที่ธนาคารได้เสนอขายไปแล้วและไม่ได้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ Basel III

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – หุ้นกู้ด้อยสิทธิ

          อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารทั้ง 4 แห่ง จะได้รับผลกระทบหากมีการเปลี่ยนแปลงในอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวหรืออันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของธนาคาร

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – ตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Hybrid Tier 1)

          อันดับเครดิตสากลของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของ KTB ที่ ‘B’ อยู่ต่ำกว่าอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร 5 อันดับ ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินงานของธนาคาร (going concern) เนืองจากตราสารดังกล่าวมีคุณสมบัติที่สามารถงดการจ่ายดอกเบี้ยได้ถ้าธนาคารมีผลขาดทุน (non-cumulative coupon deferral feature) อันดับเครดิตภายในประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจาณาอันดับเครดิตสากลของตราสารประเภทดังกล่าว ซึ่งจะอ้างอิงจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเช่นกัน

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – ตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1

          การเปลี่ยนแปลงในอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ KTB จะส่งผลให้อันดับเครดิตของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกัน
รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดมีดังนี้

BBL:
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F2’
  • อันดับความเข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb+’
  • อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำคงอันดับที่ ‘BBB-’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของโครงการหุ้นกู้ GMTN ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน มูลค่า 3 พันล้านเหรียญหสหรัฐฯ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘BBB’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’
KBank:
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F2’
  • อันดับความเข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb+’
  • อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำคงอันดับที่ ‘BBB-’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของโครงการหุ้นกู้ EMTN มูลค่ารวม 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ระยะสั้น ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’
SCB:
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F2’
  • อันดับความเข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb+’
  • อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำคงอันดับที่ ‘BBB-’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของโครงการหุ้นกู้ MTN มูลค่ารวม 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB+’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ระยะสั้น ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’
KTB:
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F3’
  • อันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb-’
  • อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ คงอันดับที่ ‘BBB’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของโครงการห้นกู้ EMTN มูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ คงอันดับที่ ‘BBB’
  • อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB’
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Hybrid Tier 1 Securities) คงอันดับที่ ‘B’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของโครงการห้นกู้ระยะสั้น มูลค่า 30 พันล้านบาทคงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA(tha)’
  • อันดับเครดิตภายในประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้น คงอันดับที่ 1 (Hybrid Tier 1 Securities) ที่ ‘BBB(tha)’
KS:
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
SCBS:
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’
KTBL:
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๒:๑๕น.

กสิกรไทย-เอเชียทีค หนุนสินเชื่อร้านค้าในเอเชียทีค


          กสิกรไทยจับมือเอเชียทีค ออกสินเชื่อพิเศษหลากหลายหนุนเงินหมุนเวียนให้ผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นการบริโภค ด้วยเล็งเห็นศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ ตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีคเข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้
          นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ออกโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อธุรกิจเริ่มต้น บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ สินเชื่อไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับเอสเอ็มอีที่มีข้อจำกัดในการหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันสินเชื่อ แต่ต้องการเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ขยายกิจการ หรือเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อ SME กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชี บริการสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักฐานการเดินบัญชี หรือมีการเดินบัญชีแต่ไม่มีความสม่ำเสมอ โดยธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าจากเอกสารประเภทใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟฟ้า ซึ่งผู้ขอสินเชื่อในโครงการนี้จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 เดือน
          นอกจากบริการสินเชื่อดังกล่าวข้างต้น ธนาคารยังมีบริการทางการเงินที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการรับจ่ายเงินของผู้เช่าร้านค้า เพื่อให้ผู้เช่าร้านค้ามีเวลาในการบริหารร้านได้อย่างเต็มที่ ได้แก่ บริการชำระเงินผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติกสิกรไทย เพื่อหักชำระค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่างๆ กับเอเชียทีค ฟรีค่าธรรมเนียม 3 เดือน บริการร้านค้ารับบัตรเครดิตผ่าน K-PowerP@y (mPOS) ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน/แท๊ปเล็ต ทั้งระบบ iOS และ Android ซึ่งจะทำให้การรับชำระเงินจากลูกค้าสะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา และมั่นใจด้วย SMS หรือ email ที่ยืนยันทุกการใช้จ่าย พร้อมโปรโมชั่นจากบัตรเครดิตกสิกรไทย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าในเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ด้วยการออกโปรโมชั่นพิเศษ "อิ่มอร่อย 2 ต่อ รับโชคมากกว่า" ให้กับเอเชียทีคโดยเฉพาะ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้สนใจเข้ามาใช้บริการภายในโครงการมากขึ้น
          นายพัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการทำธุรกิจ Shopping &Travel Destination ได้รับความนิยมอย่างมาก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสถานที่ที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีการออกแบบให้มีบรรยากาศย้อนยุคแบบโคโรเนียล มีกระบวนการคัดเลือกร้านค้าเพื่อเข้ามาเปิดในโครงการ จึงทำให้กลายเป็นแหล่งรวมร้านค้าที่มีศักยภาพ เพราะความหลากหลายและความน่าสนใจของสินค้ามีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวของผู้บริโภค ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากช่วยเรื่องสภาพคล่องแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ ต้องการให้ผู้เช่าให้ความสำคัญเรื่องการเดินบัญชี ซึ่งจะส่งผลดีเมื่อผู้เช่าร้านค้าต้องการขยายกิจการก็จะสามารถขอสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โครงการนี้ ธนาคารตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้
          ด้านนายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ทีซีซีแลนด์ ผู้บริหารโครงการ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมามีสถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวลดลง ผลกระทบที่เห็นคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติลดน้อยลง การบริโภคในภาคครัวเรือน การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐก็ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารกว่า 1,500 ร้าน ก็ยังสามารถดำเนินกิจการไปได้โดยที่ได้รับผลกระทบเป็นบางส่วน ซึ่งพบว่าปริมาณนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศลดลง โดยกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลงกว่า 25% ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยยังคงแวะเวียนมาไม่ขาดสาย จำนวนเงินไหลเวียนในโครงการอาจลดลงบ้าง จากการใช้จ่ายต่อคนจากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 1,200 บาท จึงเห็นว่าโครงการที่ธนาคารกสิกรไทยได้นำเสนอเป็นสิ่งที่ดีมาก ทางโครงการเอเชียทีค จึงได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีค โดยจะให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง สามารถนำเงินไปลงทุนซื้อสินค้า เตรียมตัวขยายกิจการต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง สามารถรองรับการเปิดตลาด AEC และก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง
         ด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด กล่าวเสริมว่า นอกจากทางโครงการเอเชียทีค จะมีแผนการจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวและการช้อปปิ้งภายในโครงการอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างเอเชียทีคและธนาคารกสิกรไทย จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะมาช่วยส่งเสริมให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ามีเงินทุนหมุนเวียนรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจอย่างเพียงพอ ด้วยแนวคิดที่ว่า ธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้น ทุกกลไกที่เกี่ยวข้องต้องเติบโตไปร่วมกัน ทางโครงการจึงคิดแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ในหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งร่วมมือกับธนาคารซึ่งเป็นกลไกหลักในการเสริมสภาพคล่องให้ร้านค้ารวมทั้งผู้บริโภค ทั้งนี้ทางเราเชื่อมั่นว่าจากนี้ไปภาพรวมเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ ดีขึ้น และในระยะยาวจะมีแนวโน้มที่สดใสแน่นอน



ที่มา :ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๒:๐๔ น.

บัตรเครดิตกสิกรไทย! บัตรเดียวเที่ยวเหมาลำ 

บินไปช้อปปิ้งฮ่องกง กับสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค



          นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จับมือนายเลสลี่ ลู ผู้จัดการประจำประเทศไทย (คนที่ 3 จากซ้าย) และนายยงยุทธ์ ลุจินตานนท์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดประจำประเทศไทยและพม่า (คนที่ 2 จากขวา) สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิคเอาใจนักช้อปอีกครั้งภายใต้แคมเปญกสิกรไทย บัตรเดียวเที่ยวเหมาลำ โดยครั้งนี้พาผู้ถือบัตรเครดิตบินไปช้อปปิ้งฮ่องกง โดยสายการบิน คาเธ่ย์ แปซิฟิค แลกง่ายๆ ด้วยคะแนนสะสม 3,000คะแนน+เงินสด 3,000บาท ก็สามารถเหินฟ้าทะยานสู่เกาะฮ่องกงได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม เปิดจองบัตรวันที่30 พฤษภาคม 2557นี้ ที่เซ็นทรัลลาดพร้าวชั้น 1 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม K-Contact Center โทร 02-888-8888 กด*8



ที่มา :ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๐:๕๒ น.

กสิกรฯ ยังคงเป้าจีดีพีโต 1.8% รอดูท่าทีรัฐ ห่วงส่งออกยังฟุบ


“กสิกรไทย” ยังคงประมาณการเศรษฐกิจโตที่ 1.8% ระบุแม้มุมมองปัจจัยในประเทศจะมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น หลังมีการจ่ายค่าจำนำข้าวชาวนา-เร่งจัดทำงบประมาณ เหตุการส่งออกยังไม่ฟื้น
       
       นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า กรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เริ่มทยอยจ่ายเงินค่าจำนำข้าวที่ค้างให้แก่ชาวนา รวมถึงจะมีการเร่งจัดทำงบประมาณปี 2558 ให้ทันใช้ตามกำหนดนั้น ถือว่าเป็นความคืบหน้าในทางที่ดี จากเดิมที่เป็นรัฐบาลรักษาการซึ่งมีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงิน หรือการอนุมัติงบลงทุน แต่ในส่วนของ คสช.สามารถดำเนินการ จึงเป็นมุมมองที่เป็นบวกสำหรับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้
       
       “ความเคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตรงนี้ถือได้ว่าเป็นปัจจัยบวกเริ่มมองเห็นภาพต่างๆ ชัดเจนขึ้น จากเดิมที่มีความวิตกกังวล เพราะไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร รวมถึงการจ่ายเงินจำนำข้าว การเร่งจัดทำงบประมาณ ก็จะเป็นส่วนช่วยด้านความเชื่อมั่นในระดับหนึ่งได้”
       
       อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวก็ยังมีปัจจัยลบในด้านของการท่องเที่ยวที่จะตื่นตระหนกและชะลอเดินทางมาเที่ยว แต่ผลกระทบตรงนี้อาจจะไม่มากนัก เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีชัน ซึ่งหากสถานการณ์มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงไฮซีซันการท่องเที่ยวก็น่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น
       
       ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังไม่มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจเติบโต ยังคงไว้ที่ 1.8% เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ยังน่าเป็นห่วง คือ การส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยล่าสุด การส่งออกเดือนเมษายนยังติดลบอยู่เกือบ 0.9% ต่ำกว่าที่้ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวได้ 0.5% ทำให้ยังต้องรอดูในส่วนนี้ก่อน เพราะการส่งออกถือเป็นสัดส่วนใหญ่ในจีดีพีไทย ที่จะยังต้องจับตาดูต่อไป
       
       นายเชาว์ กล่าวอีกว่า หากใน 2 เดือนข้างหน้า การสงออกฟื้นตัวขึ้นชัดเจน ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศก็คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับประมาณการจีดีพี ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนนั้นก็คงจะยังชะลอตัวอยู่ก่อน เนื่องจากมีปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนสูงอยู่ แต่ก็เชื่อว่าหากเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นจากการแก้ไขปัญหาไปเป็นเปลาะๆ แล้ว ก็จะลงมาสู่ภาคการบริโภคด้วย
       
       เผยส่งออกไปอาเซียน-จีนยังฟุบ
       
       ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุภาพรวมการส่งออกเดือน เม.ย.2557 อ่อนแอกว่าที่คาด โดยมูลค่าการส่งออกบันทึกที่ 17,249 ล้านดอลลาร์ หดตัวลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 0.87 (YoY) ต่อเนื่องจากที่หดตัวร้อยละ 3.12 (YoY) ในเดือน มี.ค.2557 และยังคงหดตัวลงจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 0.1 (MoM, s.a.) ซึ่งนับเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
       
       ทั้งนี้ การส่งออกไปตลาดหลักยังประคองสัญญาณการฟื้นตัว แต่คู่ค้าที่สำคัญฝั่งเอเชียยังซบเซา โดยส่งออกของไทยไปตลาดในกลุ่ม G-3 ขยายตัวร้อยละ 0.3 (YoY) ขณะที่เส้นทางการฟื้นตัวของการส่งออกไทยไปจีน และอาเซียน ยังคงหดตัวลงต่อเนื่อง ร้อยละ 9.5 (YoY) และร้อยละ 1.9 (YoY) ตามลำดับ โดยอาจกล่าวได้ว่า การส่งออกไปยังคู่ค้าหลักในภูมิภาคเอเชีย มีทิศทางที่อ่อนแอยาวนานกว่าที่ประเมินไว้
       
       จากสถานการณ์ของภาคการส่งออกดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2557 อย่างระมัดระวัง แม้จะยังคงคาดว่า จังหวะการฟื้นตัวของการส่งออกน่าจะทยอยเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 2/2557 โดยมีแรงหนุนจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อน และการประคองทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรส่งออกของไทยก็เริ่มปรับเข้าใกล้ราคาสินค้าส่งออกของคู่แข่งมากขึ้น โดยจะยังคงกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของการส่งออกที่ร้อยละ 3.0-6.0 (ค่ากลางร้อยละ 5.0) ไว้ ณ ขณะนี้


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์.28 พฤษภาคม 2557 19:22 น.

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ว้าว! กสิกรไทยแจกจริงทองคำล้านที่ 4 ในแคมเปญ 

เทศกาลเบิกบานใจแก๊ง 3 ช่า คาร์นิว้าว





         นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (ที่ 3 จากซ้าย) เป็นตัวแทนธนาคารมอบรางวัลทองคำมูลค่า 1 ล้านบาท จากแคมเปญ “เทศกาลเบิกบานใจแก๊ง 3ช่าคาร์นิว้าว” ให้แก่ นางสาวอำไพ กองแดง (ที่ 3 จากขวา) ผู้โชคดีประจำเดือนเมษายน โดยจัดมอบอย่างยิ่งใหญ่บนเวทีคอนเสิร์ตแก๊ง 3 ช่า ที่สนามโรงเรียนเทศบาล 4 จังหวัดนครปฐม ร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีรับทองคำ 1ล้านบาท เช่นนี้ได้ทุกเดือน เพียงเป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยใช้บริการธนาคารกสิกรไทยมาก่อน เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ พร้อมสมัครบัตรเดบิต แล้วส่ง SMS พิมพ์ KB ตามด้วยหมายเลขบัตรเดบิต 10 หลักสุดท้ายมาที่หมายเลข 4545888 ก็สามารถลุ้นรับทองคำได้ง่ายๆ ทุกเดือน จับรางวัลครั้งถัดไปในเดือนมิถุนายน 2557 นอกจากนี้เมื่อสมัครใช้บริการ SMS Alert รับทันทีของกำนัลลายแก๊ง 3ช่า ที่ผลิตพิเศษสำหรับแคมเปญนี้เท่านั้น เช่น หมอน 3ช่า ชวนฝัน กระเป๋าช้อปปิ้ง 3ช่า กระติกน้ำสุดซ่า 3 ช่า หรือ ร่ม 3 ช่าท้าแดด ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ K-Contact Center



ที่มา :  ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพุธที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๐๙:๕๙ น

โครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ 

ร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย แถลงข่าว 

โครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่ารายย่อย

ในเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์


       โครงการสินเชื่อพิเศษเพื่อช่วยเหลือร้านค้าผู้เช่าภายในโครงการให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่สะดุดร่วมแถลงข่าวโดย

นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด

นางวัลลภา ไตรโสรัจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด

และนายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย

       ในวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2557 เวลา 10.30-12.00 น. ณ ร้านบริว เบียร์ แอนด์ ไซเดอร์ ย่านกลางเมือง โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์

กำหนดการ
10.30 น. สื่อมวลชนร่วมลงทะเบียน พร้อมรับเอกสารข่าวและรับประทานของว่าง

11.00 น. พิธีกรกล่าวต้อนรับสื่อมวลชน พร้อมนำเข้าสู่งานแถลงข่าว
นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด
นางวัลลภา ไตรโสรัจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด
และนายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
กล่าวถึงรายละเอียดความร่วมมือในครั้งนี้
คณะผู้บริหารจาก 2 องค์กร ร่วมถ่ายภาพ

11.30 น. เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสอบถามเพิ่มเติม

12.00 น. สิ้นสุดการจัดงานแถลงข่าว สื่อมวลชนร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านพิซซ่า ฮัท



ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันอังคารที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๔:๒๓ น.

บัตรเครดิตกสิกรไทย! เปิดแคมเปญ อิ่มสุข ช็อปสนุก 

ใน 5 ศูนย์การค้าเครือ SF ลุ้นบินช็อปปิ้งไกลถึงฮ่องกง





        นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และนางสาว สุดฤทัย ทองสอง ผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาดบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ นางณัฐรินทร์ พยุงวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บมจ.สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ เปิดตัวแคมเปญ”อิ่มสุข ช็อปสนุก” ช็อปลุ้นโชครับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ รับส่วนลดสูงสุด 40% และบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ 100 บาท เมื่อช้อปครบ 1,000 บาทขึ้นไปในหมวดร้านอาหาร และ3,000บาทขึ้นไปในหมวดร้านค้าอื่นพร้อมลุ้นแพคเกจท่องเที่ยวฮ่องกง 3 วัน 2 คืนโดยสายการบิน Cathay Pacific สำหรับสุดยอดนักช็อปในแต่ละศูนย์ที่มียอดช็อปปิ้งสูงสุด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม K-Contact Center โทร 02-888-8888 กด*8


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันอังคารที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๔:๐๔ น.

สินเชื่อเดือน เม.ย.อ่อนแรง จับตาการเมือง ลุ้นรายใหญ่ฟื้น


       ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุสินเชื่อเดือน เม.ย.มียอดคงค้าง 9.56 ล้านล้านบาท เติบโต 8.48% ชะลอลงจาก 8.70% ในเดือน มี.ค. จากวันทำการที่น้อยกว่า เศรษฐกิจชะลอ คาดไตรมาส 2 ต่ำกว่า 7% จับตาสถานการณ์การเมือง ลุ้นรายใหญ่กระเตื้อง
       
       ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานเงินให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2557 มีจำนวน 9.56 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.02 หมื่นล้านบาท จากยอดคงค้างที่ 9.54 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 ซึ่งเป็นปริมาณการเพิ่มขึ้นที่น้อยกว่าที่เคยทำได้ที่ 4.49 หมื่นล้านบาทในเดือนมีนาคม ทั้งนี้ แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อในลักษณะเดือนต่อเดือนที่ชะลอลงดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะสามารถอธิบายได้จากปัจจัยด้านฤดูกาลที่เดือนเมษายน มีจำนวนวันทำการน้อยกว่าเดือนมีนาคม ตามวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย
       
       แต่เมื่อพิจารณาจากอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) นั้น พบว่า ยอดเงินให้สินเชื่อสุทธิดังกล่าวเติบโตชะลอลงจากร้อยละ 8.70 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 มาที่ร้อยละ 8.48 ซึ่งสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความต้องการสินเชื่อในภาพรวมที่อ่อนแรงลง ท่ามกลางปัญหาทางการเมืองในประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักของไทยที่ยังไม่สามารถหนุนการฟื้นตัวของการส่งออกได้อย่างเป็นรูปธรรม
       
       ด้านยอดเงินฝากกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืมมีจำนวนทั้งสิ้น 11.03 ล้านล้านบาท ลดลงเพียง 1.6 หมื่นล้านบาท จากระดับ 11.05 ล้านล้านบาท ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินฝากที่รวมกับตราสารหนี้ที่ออก และเงินให้กู้ยืมดังกล่าวยังคงเติบโตชะลอลงจากร้อยละ 7.54 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 มาที่ร้อยละ 7.16 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของเงินให้สินเชื่อที่ชะลอลงเช่นกัน
       
       สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ไทยในเดือนเมษายน 2557 ตึงตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อันเป็นผลจากทั้งสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เงินฝากรวมกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินให้กู้ยืม ปรับตัวลดลง ดังสะท้อนให้เห็นผ่านอัตราส่วนสินเชื่อรวมต่อเงินฝากรวมกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม (Gross Loans to Deposits and Borrowings) เพิ่มขึ้นแตะระดับร้อยละ 90.07 เทียบกับร้อยละ 89.75 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557
       
       ส่วนแนวโน้มการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านั้น แม้ว่าภาวะการแข่งขันในภาพรวมตลาดเงินฝากจากผู้ออมรายย่อยคงจะบรรเทาความรุนแรงลง โดยเฉพาะในมิติของการแข่งขันด้านราคา ซึ่งสะท้อนการบริหารต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ในจังหวะที่การปล่อยสินเชื่อใหม่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่คาดว่ามีโอกาสเห็นโครงการเงินฝากระยะค่อนข้างยาวและโครงการเงินฝากพิเศษสำหรับลูกค้ารายย่อยเฉพาะกลุ่ม ตลอดจนการเสนอขาย Commercial Papers ให้แก่นักลงทุนสถาบันเป็นระยะๆ ตามกลยุทธ์ทางธุรกิจ และนโยบายการบริหารเงินของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง
       
       โดยประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ความคืบหน้าในการผลักดันการใช้จ่ายของภาครัฐ รวมถึงเครื่องชี้ด้านการค้าระหว่างประเทศ เพราะจะมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความเชื่อมั่นภาคเอกชน และการพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวม อันจะมีนัยตามมาต่อการเติบโตของสินเชื่อ และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในระยะถัดไป
       
       ทั้งนี้ สินเชื่อในเดือนแรกของไตรมาส 2/2557 ที่ยังส่งสัญญาณอ่อนแรงลงต่อเนื่อง ผ่านอัตราการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ชะลอลง กอปรกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม ยังน่าจะเผชิญแรงกดดันจากปัญหาความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย และลงทุนของภาคเอกชนในประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง และการฟื้นตัวของการส่งออกที่เชื่องช้า ดังนั้นแล้วจึงมีโอกาสที่สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย ณ สิ้นไตรมาส 2/2557 จะเติบโตชะลอลงต่ำกว่าร้อยละ 7.0 โดยประเด็นจับตาอยู่ที่การเติบโตของสินเชื่อภาคธุรกิจว่าจะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้หรือไม่ หลังจากที่ในไตรมาสแรกของปี 2557 รายงานตัวเลขที่ต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่มียอดคงค้างสินเชื่อลดลงจากสิ้นไตรมาสก่อนหน้า ทำให้แรงขับเคลื่อนสินเชื่อในภาพรวมยังคงมาจากสินเชื่อรายย่อย


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ .26 พฤษภาคม 2557 19:28 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000058740

กลยุทธ์การลงทุนตราสารทุน 26-5-57









         Money Wise ช่วงพลิกเกม กลยุทธ์การลงทุนตราสารทุน สดตรงจากนักวิเคราะห์บล.กสิกรไทย "NOW26" 26-5-57



ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์.การเงิน-การลงทุน.วันที่ 26 พฤษภาคม 2557.15:13น.

ภาพการเมืองไม่คืบ นโยบายเศรษฐกิจไม่ชัด 

แถมอาจมีการปะทะระหว่างประชาชนกับทหาร 

โบรกฯ คาดดัชนีไม่ไปไหน




       นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ระบุ ดัชนีถูกกดดันด้วยหุ้นใหญ่ในกลุ่ม Energy Bank และ ICT ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยหุ้น PTT ปรับตัวลงแรงกว่า -2.6% ส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากประเด็นข่าวลือ ว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.กดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการของบริษัท รวมถึงรัฐวิสาหกิจอื่นด้วย กดดันบรรยากาศการเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็กในช่วงบ่ายให้เป็นลบต่อเนื่อง
       
       พร้อมกันนี้ เตือนนักลงทุนให้ระวังการกระชากราคาหุ้นเล็กขึ้นเพื่อเปลี่ยนมือ โดยระยะนี้ดัชนีน่าจะซึมลงในกรอบ 1,380-1,400 จุด เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยใหม่ โดยตลาดยังคงเปราะบางต่อความเสี่ยง และมีโอกาสแกว่งถอยได้เร็วในระยะสั้น โดยมี Downside ที่ 1,350-1,360 จุด เนื่องจากสถานการณ์การเมืองไทยที่ยังไม่มีกำหนดเวลาแน่ชัดของการจัดตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อบริหารราชการ ท่ามกลางการรวมตัวกันของหลายกลุ่มเพื่อต่อต้านรัฐประหารที่มีแนวโน้มขยายตัว นักลงทุนกำลังจับตาเพราะอาจนำมาสู่การเผชิญหน้ากับทหาร ส่งผลให้ภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายที่มีโอกาสไหลออกอีกระยะ 
       
       โดยระยะนี้แนะนำทยอยซื้อหุ้นรายตัวเมื่อดัชนีปรับตัวลง โดยเฉพาะที่ระดับ 1,350-1,370 จุด  สำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ เก็งกำไรด้วยวงเงินจำกัดในหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก “นโยบายเร่งด่วน” ของ คสช. 
       
        และเมื่อเวลา 14.40 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,387.14 จุด ลดลง 9.70 จุด เปลี่ยนแปลง -0.69% มูลค่าการซื้อขาย 25,110.28 ล้านบาท  ดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,398.44 จุด และต่ำสุดที่ 1,386.07 จุด




ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2557 14:39 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000058544