วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กสิกรไทย คาดสัปดาห์หน้าหุ้นไทยผันผวนเตือนระวังแรงขาย



          ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้าผันผวน ตามปัจจัยต่างประเทศ เตือนนักลงทุนระวังแรงเทขายทำกำไร ชี้ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน...
          เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 57 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทย ระหว่างวันที่ 9 - 13 มิ.ย. 2557 ว่า ดัชนีอาจปรับตัวผันผวน นักลงทุนยังต้องระวังแรงขายทำกำไร ขณะที่บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,445 และ 1,425 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,488 และ 1,494 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้ผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค 
       
          ทั้งนี้ ได้สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,458.02 จุด เพิ่มขึ้น 2.99% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 10.85% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 53,169.74 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 474.93 จุด เพิ่มขึ้น 6.07% จากสัปดาห์ก่อน
       
          อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากการที่มูดีส์ ยังคงมุมมองเครดิตของประเทศไทยในระดับเดิม รวมทั้งมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า หลังความชะงักงันทางการเมืองเริ่มคลายตัว ทั้งนี้ ดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อยในวันพุธจากแรงขายทำกำไร อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อในช่วงปลายสัปดาห์ จากข่าวการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของ ECB.


ที่่มา : ไทยรัฐออนไลน์.วันอาทิตย์ ที่ 7 มิถุนายน .13.07 น. http://www.thairath.co.th/content/427933

กสิกรไทยหนุนธุรกิจเคเบิ้ลใยแก้วความเร็วสูง





      นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และนายกรัณย์พล อัศวสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงิน เพื่อสนับสนุนโครงการขยายโครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง (ไฟเบอร์ออฟติก) สำหรับให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงที่มีเสถียรภาพให้แก่ลูกค้าและเตรียมพร้อมสู่การเป็นศูนย์กลางโทรคมนาคมของอาเซียน ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักพหลโยธิน เมื่อเร็ว ๆ นี้


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันศุกร์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๑:๔๔ น.

กสิกรไทยส่งบัตรเครดิตเพย์เวฟสติ๊กเกอร์ใบแรกของไทย




        นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย แนะนำนวัตกรรมใหม่ล่าสุด บัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) เป็นบัตรเครดิตประเภทเพย์เวฟในรูปแบบสติ๊กเกอร์ใบแรกของไทย ใช้ติดบนโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อื่นตามต้องการ จึงพกพาสะดวกพร้อมใช้งาน ช่วยลดการถือเงินสด ชำระเงินง่ายโดยการแตะหน้าบัตรบนเครื่องชำระเงิน โดยไม่ต้องเซ็นชื่อกำกับ ณ ร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ VISA payWave ทั่วโลก ตั้งเป้าหมายออกบัตรเครดิตกลุ่ม K-Wave จำนวน 200,000 บัตร และมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งสิ้น 2,700 ล้านบาท ภายในปี 2557 ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานพหลโยธิน เมื่อเร็ว ๆ นี้


วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ดัชนีช่วงบ่ายทรงตัว โบรกฯ เตือนอย่าไล่


          ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุช่วงบ่ายดัชนีน่าจะทรงตัวได้ในแดนบวก พร้อมเตือนนักลงทุนระวังการเปลี่ยนกลุ่มหุ้นเล่น ระหว่างกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กับกลุ่มพลังงาน คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,430-1,470 จุด แม้การยืนเหนือ 1,425 จุด จะเพิ่มโอกาสเล็งขึ้นทดสอบ 1,470 จุด โดยแนะกลยุทธ์ อย่าไล่ ให้ใช้จังหวะตั้งรับทยอยซื้อหุ้นที่เป็นเป้าหมายของ Fund flow อย่างไรก็ตาม เราคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเดือน มิ.ย.-ก.ค.57 โดยคาดการกระตุ้นเศรษฐกิจ

          โดยเมื่อเวลา 15.03 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,456.64 จุด เพิ่มขึ้น 2.40 จุด เปลี่ยแปลง +0.16% มูลค่าการซื้อขาย 31,182.57 ล้านบาท โดยดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,458.03 จุดและต่ำสุดที่ 1,447.65 จุด


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์4 มิถุนายน 2557 15:00 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000062498

กสิกรไทยส่งนวัตกรรมใหม่ บัตรเครดิตเพย์เวฟสติ๊กเกอร์

ใบแรกของไทย จ่ายง่ายแค่แตะไม่ต้องเซ็น 

ตั้งเป้าออก 2 แสนใบ ภายใน 57


         กสิกรไทยผุดนวัตกรรมใหม่ บัตรเครดิตเพย์เวฟสติ๊กเกอร์ พกง่ายจ่ายไว แค่แตะไม่ต้องเซ็นชื่อ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ พร้อมรองรับการขยายตัวของ Micro Payment ตั้งเป้ายอดผู้ใช้งาน 2 แสนบัตร พร้อมขยายสู่กลุ่มคมนาคมให้รองรับการใช้งาน ทางด่วน บีทีเอส รถไฟใต้ดิน ภายในปี 58
         นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการชำระเงินที่มียอดชำระต่อครั้งที่ต่ำ หรือ Micro Payment ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมความสะดวก รวดเร็ว และความต้องการถือเงินสดลดลง
         ธนาคารกสิกรไทยผู้นำด้านดิจิตอลแบงกิ้ง และครองอันดันดับ 1 ในธุรกิจบัตรเครดิตกลุ่ม VISA payWave ด้วยยอดผู้ถือบัตรมากที่สุดในตลาด จึงเตรียมเปิดตัว บัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) พัฒนาต่อยอดบัตรเครดิตประเภท K-Wave ที่ใช้เทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) ในรูปแบบสติ๊กเกอร์เป็นบัตรแรกในไทย สามารถติดบนโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อื่นๆ จึงพกพาสะดวกพร้อมใช้งาน ช่วยลดการถือเงินสด ชำระเงินง่ายโดยการแตะหน้าบัตรบนเครื่องชำระเงิน โดยไม่ต้องเซ็นชื่อกำกับ ณ ร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ VISA payWave ทั่วโลก
         นอกจากนี้ ในด้านความปลอดภัย ผู้ถือบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) สามารถกำหนดวงเงินของบัตรได้เองตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป และใช้จ่ายผ่านบัตรโดยไม่ต้องมีลายเซ็นได้สูงสุด 1,500 บาทต่อรายการ สำหรับการชำระเงิน ต้องแตะบัตรกับเครื่องอ่านบัตรในระยะห่างไม่เกิน 10 ซม. ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดการชำระเงินผ่านบัตรโดยไม่ได้ตั้งใจมีน้อยมาก และบัตรนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจาก VISA โดยมี Chip มาตรฐาน EMV อยู่ภายในเพื่อป้องกันการคัดลอกข้อมูล ทั้งนี้ ผู้สมัครบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีสำหรับปีแรก รวมทั้งสามารถสะสมคะแนนจากการใช้จ่ายเช่นเดียวกับบัตรเครดิตทั่วไปอีกด้วย
         ธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้าหมายการออกบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) และ K-Wave Credit Card จำนวน 200,000 บัตร โดยมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งสิ้น 2,700 ล้านบาท ในปี 2557 พร้อมตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนร้านค้ารับบัตรกลุ่ม K-Wave จากปัจจุบันในตลาดที่มีกว่า 5,000 เครื่อง โดยเป็นของธนาคารกสิกรไทยจำนวน 3,500 เครื่องภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2557 และคาดว่าในตลาดจะเพิ่มเป็นเป็น 10,000 ร้านค้าทั่วประเทศภายในปี 2557 โดยเน้นธุรกิจที่มีการชำระเงินรายย่อยสูง และธนาคารกสิกรไทย กำลังดำเนินการพัฒนาต่อยอดการใช้งานบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) ให้สามารถใช้ชำระเงินในกลุ่มคมนาคมขนส่งต่าง ๆ อาทิ ค่าทางด่วน, รถไฟฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2558
          นายชาติชาย กล่าวว่า การพัฒนาบัตรเครดิต NFC Sticker กสิกรไทย (K-Wave NFC Sticker Credit Card) สะท้อนความเป็นผู้นำด้านดิจิตอลแบงกิ้งของธนาคารกสิกรไทย ในการนำนวัตกรรมบริการใหม่มารองรับการขยายตัวของการชำระเงินรายย่อยที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนอกจากผู้ใช้บัตรจะได้รับความสะดวกด้วยขั้นตอนชำระเงินที่รวดเร็วขึ้น และช่วยให้ร้านค้ามีขั้นตอนการรับชำระค่าสินค้าที่กระชับขึ้น โดยเฉพาะร้านจำหน่ายสินค้าและบริการที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว จำนวนเงินธุรกรรมไม่สูงมาก เช่น ร้านอาหาร เครื่องดื่ม มินิมาร์ท โรงภาพยนตร์ นอกจากนี้ บริการดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการลดการใช้เงินสดลง เพื่อช่วยลดภาระในการผลิตธนบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย และลดความเสี่ยงให้แก่ประชาชนในการทำเงินสดสูญหายหรืออันตรายจากมิจฉาชีพ
          ปัจจุบันในประเทศไทยมีบัตรเครดิต ที่ใช้เทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) ในตลาด ทั้งบัตรที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์และบริษัทต่าง ๆ จำนวนรวมประมาณ 100,000 บัตร สำหรับธนาคารกสิกรไทย ปัจจุบันมีบัตร K-Wave Credit Card ทั้งสิ้น 80,000 บัตร โดยคาดว่า ณ สิ้นปีในตลาดจะมีบัตรเครดิตที่ใช้เทคโนโลยี NFC ประมาณ 300,000 บัตร
          ด้านภาพรวมตลาดสินเชื่อบัตรเครดิต พบว่า NPL ของทั้งตลาด ณ สิ้นสุดไตรมาส 1 ปี 2557 อยู่ที่ 2.72% ขณะที่ NPL สินเชื่อบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย ในช่วงเวลาเดียวกัน อยู่ที่ 1.72% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าตลาด ทั้งนี้ เป้าหมายสิ้นปี 2557 ของธนาคารฯ จะขยายฐานบัตรเครดิตใหม่จำนวน 715,000 บัตร และมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตรวม 3.6 ล้านบัตร เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2556 ราว 16% มียอดใช้จ่ายทั้งหมดผ่านบัตร อยู่ที่ 3.44 แสนล้านบาท ขยายตัว ราว 31% รวมทั้งประมาณการยอดสินเชื่อคงค้างหลังปรับฐาน สิ้นปี 2557 จะอยู่ที่กว่า 72,000 ล้านบาท ขยายตัวในช่วง 11-12%



ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพุธที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๑:๑๐ น.

“เคแบงก์” คลอดมาตรการช่วยเหลือลูกค้า SMEs


“เคแบงก์” ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ผ่านมา แจงทั้งลดดอกเบี้ย 3 เดือน และพักชำระหนี้ 6 เดือน เชื่อเป้าปล่อยปีนี้โตร้อยละ 6-8 
       
       นายพัชร สะมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ทางธนาคารออกมาตรการลูกค้าเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนประมาณ 19,000 ราย
       
       สำหรับมาตรการช่วยเหลือพิเศษแก่เอสเอ็มอี ได้แก่ การลดดอกเบี้ยวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี หรือ OD ร้อยละ 3 เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนถึง 31 สิงหาคม 2557 และพักชำระหนี้เงินต้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยเชื่อว่าจะทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีเงินหมุนเวียนเพิ่มจากปกติประมาณร้อยละ 55 นอกจากนี้ธนาคารเตรียมวงเงินกู้อีก 75,000 ล้านบาทเพื่อปล่อยกู้ใหม่ให้เอสเอ็มอีในธุรกิจอื่นที่ได้รับผลกระทบและต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น
       
       ส่วนเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีในปีนี้ (2557) ของธนาคารกสิกรไทย ยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่จะขยายตัวร้อยละ 6-8 จากยอดรวมสินเชื่อคงค้างเมื่อปลายปี 2556 จำนวน 629,000 ล้านบาท เพราะเห็นสัญญาณเอสเอ็มอีเริ่มสต๊อกสินค้าเพื่อผลิตมากขึ้น โดยเชื่อว่าในไตรมาสที่ 4 จะมีการขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการต้องผลิตตามคำสั่งซื้อที่จะมาในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ ส่วนจำนวนลูกค้าที่ขอพักหนี้มีจำนวน 400 ราย ยอดรวมสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท


ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์.3 มิถุนายน 2557 15:32 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000062021

กสิกรไทยจัดเต็ม ช่วยเอสเอ็มอีคลายทุกข์จากพิษเศรษฐกิจ 

ทุ่ม 100 ล้าน ลดดอกเบี้ยกู้ 3% ยืดหนี้ 6 เดือน 

พร้อมปล่อยกู้เพิ่ม 75,000 ล้าน


         การเมืองยืดเยื้อส่งผลกระทบเอสเอ็มอีรายได้ลด ขาดสภาพคล่อง กสิกรไทยรุดช่วย ทุ่ม 100 ล้านลดดอกเบี้ย 3% นาน 3 เดือน พักชำระเงินต้นนาน 6 เดือน พร้อมเตรียมเงินปล่อยกู้สินเชื่อใหม่ให้เอสเอ็มอีที่เดือดร้อนอีก 75,000 ล้านบาท หวังช่วยลูกค้าเพิ่มสภาพคล่องและฟื้นตัวจากวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจ
         นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปลายที่ปีแล้ว ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจติดลบ การลงทุนชะลอตัว ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของประชาชนลดลง ทำให้เอสเอ็มอีมีรายได้ลดลงกว่า 40% หลายรายมีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่มีกระแสเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารได้ให้คำปรึกษาและพิจารณาช่วยเหลือแก่เอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบตามความจำเป็นของแต่ละราย
         อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน ทำให้เอสเอ็มอี 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงเป็นวงกว้าง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศลดลงเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย การลงทุนของภาครัฐและเอกชนชะลอตัวลง อีกทั้งชาวนาได้รับเงินจากการขายข้าวล่าช้ากว่ากำหนด โดยธนาคารกสิกรไทยมีฐานลูกค้าเอสเอ็มอีใน 3 กลุ่มดังกล่าวประมาณ 19,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินเร่งด่วน เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเทียบกับภาระหนี้ที่มีกับธนาคารอยู่ในสัดส่วนที่สูง ประมาณ 15,000 ราย
          ดังนั้นธนาคารกสิกรไทย จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่เอสเอ็มอีทั้ง 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนด้วยการลดดอกเบี้ยวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (โอดี) ทุกรายทันที 3% เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 มิถุนายน-31 สิงหาคมนี้ และพักชำระหนี้เงินต้นเป็นเวลา 6 เดือนให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ธนาคารยังได้เตรียมวงเงินกู้อีก 75,000 ล้านบาทเพื่อปล่อยกู้ใหม่ให้เอสเอ็มอีอื่นที่ได้รับผลกระทบและต้องการเงินลงทุนหรือวงเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
         มาตรการช่วยเหลือด้วยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 3% และพักชำระหนี้เงินต้นนาน 6 เดือน จะทำให้ลูกค้าใน 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนมีเงินเพิ่มขึ้นต่อเดือนราว 55% จากภาระหนี้ของธนาคารที่ลดลง ซึ่งลูกค้าสามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวไปหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจได้มากขึ้น
          นายพัชร กล่าวทิ้งท้ายว่า มาตรการช่วยเหลือในครั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าจะช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้โดยไม่กระทบกับกำไรของผู้ถือหุ้นเพราะธนาคารจะบริหารจัดการด้วยการลดค่าใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ของธนาคารทดแทน


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันอังคารที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๑:๓๕ น.

กสิกรไทยผนึกหอการค้าไทยออกบัตรสมาชิกเครดิตร่วม

หอการค้าไทย-กสิกรไทย



          กสิกรไทยรุกผู้นำบัตรเครดิต จับมือหอการค้าไทย ออกบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย บัตรแรกและบัตรเดียวที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านธุรกิจและชีวิตส่วนตัว ด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษ ส่วนลดจากหอการค้าทั่วประเทศ และร่วมอบรมเพิ่มพลังความรู้ ตั้งเป้าออกบัตร 2 แสนใบภายใน 5 ปี
          นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ออกบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย ซึ่งจะเป็นบัตรเครดิตที่มีอัตลักษณ์พิเศษเหนือกว่าบัตรเครดิตทั่วไป โดยจะเป็นบัตรเครดิตบัตรแรกและบัตรเดียวที่รวมสิทธิประโยชน์เพื่อสมาชิกผู้ถือบัตรทั้งด้านธุรกิจ และการจับจ่ายส่วนบุคคลจากธนาคารกสิกรไทย และเครือข่ายสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย จะได้รับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ ส่วนลด 10-20% สำหรับค่าอบรมสัมมนา ส่วนลดสำหรับการออกหนังสือรับรองเพื่อการส่งออก การเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ฟรีเพื่อต่อยอดธุรกิจและก้าวทัน AEC สามารถใช้บริการสินเชื่อต่าง ๆ ของธนาคารกสิกรไทยในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องแสดงหลักทรัพย์กสิกรไทย (K-Klean Credit) สินเชื่อเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์กสิกรไทย (K-Franchise Credit) สินเชื่อรถช่วยได้กสิกรไทย และสินเชื่อบ้านกสิกรไทย
          นอกจากนี้ ยังได้รับส่วนลดจากร้านค้าที่เป็นสมาชิกของหอการค้าทั่วประเทศ รวมทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นส่วนลดและข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ ที่ร่วมรายการกับบัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมีมากกว่า 400 แคมเปญต่อปี สำหรับผู้ที่จะสมัครบัตรสมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย ต้องเป็นกลุ่มพนักงานบริษัท ผู้บริหาร และเจ้าของกิจการที่เป็นสมาชิกหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 700,000 คน ทั้งนี้ ธนาคารฯ ตั้งเป้าออกบัตรดังกล่าวประมาณ 2 แสนใบภายใน 5 ปี
          นายปรีดี กล่าวเพิ่มเติมว่า หอการค้าไทย เป็นศูนย์รวมภาคธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีเครือข่ายสมาชิกครอบคลุมทุกจังหวัด จึงเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ดังนั้นความร่วมมือกับหอการค้าไทยครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการร่วมออกบัตรเครดิตเท่านั้น แต่จะเป็นความร่วมมือในการส่งเสริมพัฒนาสมาชิกหอการค้า และการให้สิทธิประโยชน์ที่จะเกื้อกูลการดำเนินธุรกิจของสมาชิกให้มีความแข็งแกร่ง ซึ่งแตกต่างจากการออกบัตรเครดิตอื่น ๆ ที่ผ่านมา และธนาคาร ฯ หวังว่าจะมีการพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสำหรับสมาชิกออกมากอย่างต่อเนื่อง
          ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าวัตถุประสงค์หลักของการจัดทำบัตรสมาชิกเครดิตร่วมร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทยในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะใช้เป็นบัตรแสดงตนในการเป็นสมาชิกของหอการค้า เป็นเอกลักษณ์ และเอกภาพเดียวกันของหอการค้าทั่วประเทศ รวมทั้งใช้เป็นบัตรส่วนลดในการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าและหน่วยงานสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ โดยจะเป็นบัตรที่ให้สิทธิพิเศษมากกว่าบัตรส่วนลดทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมเครือข่ายสิทธิประโยชน์ด้านการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศให้กว้างขวางมากขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของเราในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมเครือข่ายทั่วประเทศ
นอกจากสิทธิ์พิเศษที่ได้รับจากธนาคารกสิกรไทยแล้ว ในส่วนของหอการค้าไทย จะดำเนินการรณรงค์เชิญชวน ร้านค้า สถานบริการ ภายใต้ป้าย “ของดีจังหวัด” ซึ่งเป็นโครงการแนะนำร้านอาหารและของฝากชั้นดีของหอการค้าจังหวัดแต่ละจังหวัด หรือร้านอาหารอร่อยที่เป็นสมาชิกของหอการค้าจังหวัด ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งสมาชิกของหอการค้าไทยในส่วนกลางให้เข้าร่วมโครงการ นอกจากนั้น ยังมอบส่วนลดและสิทธิประโยชน์พิเศษต่าง ๆ ของหอการค้าไทย เช่น ส่วนลด 10-20% สำหรับค่าอบรมสัมมนา ส่วนลดสำหรับการออกหนังสือรับรองเอกสารเพื่อการส่งออก เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่สมาชิกเครดิตร่วมหอการค้าไทย-กสิกรไทย ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในส่วนภูมิภาค ร่วมกับโครงการไทยเที่ยวไทยอีกด้วย
          นายอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่า หอการค้าไทยได้จัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2476 โดยเป็นองค์กรที่เป็นศูนย์รวมของกลุ่มธุรกิจและทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่สมาชิกและผู้ประกอบการเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การเงินและการบริการ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่รัฐบาล เพื่อประโยชน์แก่เศรษฐกิจและสังคมของชาติโดยรวม ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกซึ่งเป็นผู้ประกอบการในเครือข่าย กว่า 70,000 บริษัท


ที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันจันทร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑๐:๓๘ น.
กสิกรไทย คาดสัปดาห์หน้าเงินบาทเคลื่อนไหว 32.65-33.00


          ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.65-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ จับตาการเมือง-แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ...
          เมื่อวันที่ 31 พ.ค.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดเงินรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (26-30 พ.ค.) เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือนครึ่ง โดยเงินบาทเผชิญแรงเทขายอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ ขณะที่ ตลาดยังคงติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ (ขายสุทธิ 13.0 และ 11.6 พันล้านบาทในระหว่างสัปดาห์ตามลำดับ) ประกอบกับมีความต้องการเงินดอลลาร์ฯ จากกลุ่มผู้นำเข้าในช่วงสิ้นเดือน และผู้ค้าทองด้วยเช่นกัน   
          ทั้งนี้ ในวันศุกร์ (30 พ.ค.) เงินบาทอ่อนค่าเข้าใกล้ระดับ 32.85 ในระหว่างวัน ก่อนจะปิดตลาดที่ระดับ 32.82 เทียบกับระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (23 พ.ค.)
          
          สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (2-6 มิ.ย.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 32.65-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยต้องจับตาสถานการณ์การเมืองและมาตรการดูแลเศรษฐกิจของไทย ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลตลาดแรงงาน ดัชนี ISM ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนพ.ค. ยอดสั่งซื้อของโรงงาน รายจ่ายด้านการก่อสร้าง ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนเม.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังอาจจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (5 มิ.ย.) และดัชนี PMI เดือนพ.ค.ของหลายๆ ประเทศอีกด้วย.


ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ 31 พ.ค. 2557 12:17.http://www.thairath.co.th/content/426446