วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กสิกรไทย คาด เงินบาทสัปดาห์ เคลื่อนไหวกรอบ 32.30-32.50

          ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ จับตาแผนกู้เศรษฐกิจ คสช.-ข้อมูลเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค. ...
          เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดเงินรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (23-27 มิ.ย.) เงินบาทปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ระดับประมาณ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ตลอดสัปดาห์ เนื่องจากตลาดยังคงรอปัจจัยใหม่ๆ มากระตุ้น โดยเงินบาทขยับแข็งค่าเล็กน้อย ในช่วงแรกตามทิศทางสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ที่ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขภาคการผลิตจีนที่ออกมาดี
          อย่างไรก็ดี เงินบาททยอยลดช่วงบวกดังกล่าวลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์ ในช่วงปลายเดือนของผู้นำเข้า และการปรับโพสิชั่น เพื่อรอความคืบหน้าของสถานการณ์ต่างๆ ต่อไป โดยในวันศุกร์ (27 มิ.ย.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 32.45 เทียบกับระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (20 มิ.ย.)
               
          สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (30 มิ.ย.-4 ก.ค.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยต้องจับตาแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของ คสช. และข้อมูลเศรษฐกิจเดือน พ.ค. ของไทย ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลตลาดแรงงาน ดัชนี ISM ภาคการผลิต-ภาคบริการ ดัชนี PMI เขตชิคาโก เดือน มิ.ย. ยอดสั่งซื้อของโรงงาน ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายเดือน พ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
          นอกจากนี้ นักลงทุนอาจจับตาถ้อยแถลงด้านนโยบายการเงินของประธานเฟด (2 ก.ค.) ด้วยเช่นกัน อนึ่ง ตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 4 ก.ค. เนื่องในวันชาติสหรัฐฯ.


ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ 28 มิ.ย. 2557 16:54.http://www.thairath.co.th/content/432794

"กสิกรไทย"ลุยตลาดลูกค้ามั่งคั่งตามต่างจังหวัด 

หวังเพิ่มสัดส่วนเป็น 35% พร้อมตั้งเป้าเอยูเอ็มโต 10%



          นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้าผู้มีเงินฝากและเงินลงทุนเกินกว่า 10 ล้านบาท มีการเติบโตในระดับสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ และเริ่มมีความต้องการทางการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น
          ดังนั้นกลยุทธ์ของธนาคารในปีนี้ คือ การขยายการให้บริการไปในต่างจังหวัดรวมถึงขยายตลาดให้บริการกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติทั้งกลุ่ม AEC และประเทศต่างๆ ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศหรือมาพักอาศัยในประเทศไทยอีกด้วย
          ทั้งนี้ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวสร้างรายได้ให้กับธนาคารค่อนข้างมาก โดยมีค่าเฉลี่ยการใช้ผลิตภัณฑ์ต่อรายสูงถึง 6 ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม High Net Worth ที่มีเงินฝากกับธนาคารเกินกว่า 50 ล้านบาท แต่ยอมรับว่าเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันธนาคารมีลูกค้ากลุ่มผู้มีเงินฝากและเงินลงทุนเกินกว่า 10 ล้านบาท (The Wisdom) อยู่ประมาณ 118,000 ราย คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 80% ของจำนวนลูกค้าระดับบนทั้งหมดในประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 153,000 ราย และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
          "ในแต่ละปีลูกค้ากลุ่มนี้โตขึ้น 3% แต่ในต่างจังหวัดจะโต 2 หลัก และจะเห็นว่าลูกค้าจากลาวข้ามมาใช้บริการ THE WISDOM ในสาขาอุดรธานีมากขึ้น หรือลูกค้าจากพม่าที่เข้ามาใช้บริการในกรุงเทพ ซึ่งธนาคารมีแผนที่จะเปิด The Wisdom Lounge ที่เวียงจันทน์ด้วย หากธนาคารเข้าไปเปิดสาขาในลาวเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า รวมถึงลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทยด้วย กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง"
          นายปกรณ์กล่าวว่า ลูกค้าวิสดอมกว่า 70% เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่ลูกค้าในจังหวัดหัวเมืองและจังหวัดอื่นๆ 30% ในปีนี้ธนาคารมีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นประมาณ 10% หรือเพิ่มเป็น 1.2 ล้านล้านบาทโดยเน้นเพิ่มสัดส่วนลูกค้าในหัวเมืองใหญ่และจังหวัดอื่นๆ ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 35% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 30%
          นอกจากนี้ในปัจจุบันธนาคารมีศูนย์บริการ เดอะวิสดอม 87 แห่ง อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล 42 แห่ง และในจังหวัดใหญ่ทุกภูมิภาค 45 แห่ง ซึ่งในปีนี้ธนาคารมีแผนจะเปิดศูนย์บริการเดอะวิสดอมเพิ่มอีก 47 แห่ง รวมเป็น 134 แห่ง โดยล่าสุดธนาคารกสิกรไทย เปิดตัว เดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัล เอ็มบาสซี (The Wisdom Lounge @ Central Embassy) ตั้งอยู่บนชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี
          ขณะเดียวกันใช้งบลงทุนถึง 70 ล้านบาท สำหรับบริการตู้นิรภัยอัจฉริยะ ระบบอินเทลิเจนท์ เซฟ เดฟโพสิท บ็อกซ์ซึ่งมีความทันสมัยที่สุด ทั้งในเดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และ เดอะวิสดอม เลาท์ แอด สยามพารากอน มีตู้นิรภัย 1,602 ตู้ เมื่อรวมกับตู้นิรภัยรูปแบบกึ่งอัตโนมัติ ที่ ศูนย์บริการเดอะวิสดอม เลาจน์ แอด โซฟิเทล โซ กรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 6 และ สาขาลาดพร้าว 92 โดยมีจำนวนตู้นิรภัยรวม 5,366 ตู้
          "ความต้องการตู้นิรภัยมีมากขึ้น แต่ธนาคารพาณิชย์มีให้บริการไม่เพียงพอ แต่ในส่วนของธนาคารมีตู้เอทีเอ็มทั้งหมดรวมแล้ว 8,000 ตู้ ซึ่งธนาคารแผนที่จะเปิดห้องนิรภัยอีก 3 แห่งภายใน 3 ปีข้างหน้า"


ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์.วันที่ 26 มิถุนายน 2557 12:58
กสิกรไทย คาดสินเชื่อครึ่งปีหลังโต 
หลังการเมืองคลี่คลาย-ศก.ชัด




         ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย สินเชื่อธนาคารพาณิชย์โตร้อยละ 7.92% ด้านเงินฝากรวม ตราสารหนี้ โต 5.01% เชื่อครึ่งปีหลังสินเชื่อมีโอกาสเติบโตดี หลังส่งออกมีแนวโน้มที่ดี การเมืองคลี่คลาย จับตามาตรการต่างๆ ภาครัฐ...
         เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินภาพการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งปี 57 โดยระบุว่า จากการเติบโตของสินเชื่อที่แผ่วลงในช่วง 5 เดือนแรกของปีและผลของฐานที่สูงในปีก่อน ขณะที่คาดว่าภาคธุรกิจคงใช้ระยะเวลาในการทยอยลดสินค้าคงคลัง แล้วจึงเริ่มเข้าสู่ รอบการผลิตใหม่ ซึ่งจะแปลงมาเป็นความต้องการสินเชื่อเพิ่มเติม และภาคครัวเรือนคงต้องรอชั่งน้ำหนักระหว่างบรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอย และสถานการณ์ด้านรายได้ที่ดีขึ้นกับภาวะค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ โดยจะติดตามผลเชิงบวกจากพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด และอาจปรับเพิ่มประมาณการได้หากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของสินเชื่อที่ชัดเจนในระยะถัดไป
          ขณะที่ในเดือน พ.ค. 57 เงินให้สินเชื่อสุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทย อยู่ที่ 9.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.71 หมื่นล้านบาทจากเดือนก่อนหน้า หรือเติบโตร้อยละ 7.92 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านเงินฝากรวมกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินให้กู้ยืมอยู่ที่ระดับ 10.96 ล้านล้านบาท ลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่จำนวน 6.53 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า หรือเติบโตร้อยละ 5.01 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
         ทั้งนี้ ช่วงครึ่งหลังของปี 57 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นท่ามกลางแรงหนุนเศรษฐกิจ จากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงินงบประมาณของภาครัฐที่ทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหลัง สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น การผลักดันมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและมาตรการดูแลค่าครองชีพของประชาชน รวมถึงภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลก คงเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งหลังของปี สามารถพลิกกลับมามีโมเมนตัมที่ดีขึ้นได้เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 57 โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อยบางประเภท อาทิ สินเชื่อบัตรเครดิต
          สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามนอกจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจไทย ภาวะค่าครองชีพและระดับราคาสินค้าและพลังงาน เนื่องจากจะมีผลต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งผูกโยงกับความก้าวหน้าของสินเชื่อแล้ว ยังต้องจับตามาตรการต่างๆ ของภาครัฐและวิธีการ/ช่องทางการระดมทุน ซึ่งจะกระทบต่อทิศทางสภาพคล่องของระบบการเงินไทยในระยะถัดไป.


ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ 26 มิ.ย. 2557 14:01.http://www.thairath.co.th/content/432267

กสิกรฯ หันรุกกลุ่มเศรษฐีภูธร-เร่งเปิด

อีก 47 ศูนย์-ขยายฐานเป็น 35%


 กสิกรไทยเผยแผนรุกลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง เน้นขยายฐานสู่ภูมิภาคในจังหวัดหัวเมืองใหญ่-ชายแดน รับการค้า-เออีซี ลุยเปิดศูนย์บริการเพิ่มอีก 47 แห่งในปีนี้ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าหัวเมืองเป็น 35% ล่าสุดเปิด “เดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัล เอ็มบาสซี” พร้อมให้บริการบริการตู้นิรภัยอัจฉริยะระบบอินเทลิเจนท์ เซฟ เดฟโพสิท บ็อกซ์
       
       นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK)กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ธนาคารมีแนวทางที่จะขยายฐานลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งไปสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ๆใน 19 จังหวัดทั่วประเทศเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างจังหวัดเป็น 35% จากปัจจุบันที่ 30% และลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล 70% เนื่องจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอยู่ในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ รวมทั้งเป็นการเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติและเออีซีที่เข้ามาทำธุรกิจหรือพำนักในไทย
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันลูกค้าที่มีเงินฝากและเงินลงทุนกับธนาคารตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่ประมาณ 118,000 ราย โดยคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 80% ของจำนวนลูกค้าระดับบนทั้งหมดในประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 153,000 ราย และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าเติบโตที่ 20% มี AUM ที่ 1.22 ล้านล้านบาท จากมูลค่าทั้งระบบที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 3% และในปีนี้ธนาคารมีแผนที่จะเปิดศูนย์บริการเดอะวินดอมเพิ่มอีก 47 แห่ง รวมเป็น 134 แห่ง จากปัจจุบันที่มี 87 แห่ง อยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 42 แห่ง
       
       “ตลาดภูมิภาคเป็นตลาดที่น่าสนใจ เศรษฐกิจเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักมาต่อเนื่อง 2-3 ปี ลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น พร้อมๆกับโอกาสที่จะขยายธุรกิจด้านการลงทุนยังมีอีกมาก เพราะลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งในภูมิภาคยังออมเงินด้วยเงินฝากประจำเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่จังหวัดในแถบชายแดน อาทิ อุดรธานี ก็เริ่มมีลูกค้านักธุรกิจจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวเข้ามาใช้บริการศูนย์วิสดอมหนาตาขึ้น และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นหากมี AEC ดังนั้น ตรงจุดนี้ก็จะต้องขยายด้วยเช่นกัน”
       
       นายปกรณ์กล่าวอีกว่า กลุ่มลูกค้ามั่งคั่งเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันกันสูงมาก ธนาคารในฐานะผู้นำตลาดมีมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มนี้สูงสุด ได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใน 2 ด้านด้วยกัน คือ ด้านการลงทุนจะเน้นให้คำปรึกษาการลงทุนอย่างมืออาชีพและครบวงจร ส่วนด้านบริการจะเน้นบริการที่แตกต่างและตรงกับไลฟ์สไตล์กับลูกค้าจากการสำรวจในเชิงลึกถึงความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันศูนย์บริการเดอะวิสดอมของมีธนาคารมีทั้งหมดถึง 5 รูปแบบที่แตกต่างตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
       
       ล่าสุด ธนาคารได้เปิด THE WISDOM Loung @ ที่ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ซึ่งศูนย์ดังกล่าวพร้อมด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกด้าน ทั้งด้านไลฟ์สไตล์ บริการทางการเงิน และบริการตู้นิรภัยอัจฉริยะ ซึ่งมีให้บริการที่ศูนย์นี้ และเดอะวิสดอม เลาท์ แอด สยามพารากอน มีจำนวนตู้นิรภัยรวม 1,602 ตู้ ใช้เงินลงทุนด้วยงบประมาณกว่า 70 ล้านบาท ทั้งนี้ บริการตู้นิรภัยอัจฉริยะ ระบบอินเทลิเจนท์ เซฟ เดฟโพสิท บ็อกซ์นี้ มีความทันสมัยที่สุด ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกด้วยการยืนยันตัวตนถึง 3 ชั้น เริ่มจากการสแกนลายนิ้วมือพร้อมการแตะการ์ด ใส่ PIN Code และไขกุญแจเปิดตู้นิรภัย ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการตู้นิรภัยได้อย่างมั่นใจในห้องส่วนตัวเฉพาะบุคคล



ที่มา : โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์25 มิถุนายน 2557 19:11 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000071712